“เอ็กซิม แบงก์” เตือนผู้ส่งออกรับมือเศรษฐกิจโลกหดตัวต่ำสุดรอบ 100 ปี เหตุเผชิญพิษโควิด-19



  • 5 เดือนแรก ผู้ส่งออกยื่นขอรับค่าสินไหมทดแทนเพิ่ม 226%
  • หลังคู่ค้าไทยในต่างประเทศ เบี้ยวไม่ชำระเงินค่าสินค้า

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิม แบงก์) เปิดเผยว่า จากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) คาดการณ์ว่า ในปี 2563 เศรษฐกิจโลกจะหดตัว 5.2% ต่ำสุดในรอบเกือบ 100 ปีนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในปี 2473  ส่วนการค้าโลกจะหดตัว 13.4% เป็นการหดตัวรุนแรงครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2552 โดย เอ็กซิม แบงก์ คาดว่า ในปี 2563 ภาคการส่งออกของไทยจะหดตัว 5-8% ซึ่งสินค้าที่มีโอกาส เช่น สินค้าประเภทอาหาร และสินค้าตามกระแสเมกะเทรนด์ เช่น อุปกรณ์สำนักงานสำหรับทำงานจากบ้าน เครื่องมือแพทย์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์

ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของออยเลอร์เฮอร์เมส (Euler Hermes) บริษัทประกันสินเชื่อทางการค้าชั้นนำของโลก ระบุว่า โควิด-19 จะส่งผลกระทบให้ธุรกิจการค้าทั่วโลกขาดทุนคิดเป็นมูลค่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งจะมีธุรกิจล้มละลายเพิ่มสูงขึ้นกว่า 20% ดังนั้นผู้ส่งออกไทยจึงต้องบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ โดยวิธีกระจายตลาดส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่ยังเติบโตหรือมีคนรุ่นใหม่ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่มาก เช่น ตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เอเชียใต้ และแอฟริกา เป็นต้น

“ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  ซึ่งมีอำนาจการต่อรองต่ำและเงินทุนหมุนเวียนไม่มาก จะต้องบริหารความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้า เนื่องจากโควิด-19 อาจทำให้ผู้ซื้อในต่างประเทศไม่สามารถกระจายสินค้าได้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเริ่มพบสัญญาณการขอขยายระยะเวลาการชำระเงิน  การชำระเงินล่าช้าหรือผิดนัดชำระเงิน เพิ่มมากตั้งแต่เดือนก.พ.63 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า อาจมีการผิดนัดชำระเงินค่าสินค้ามากขึ้นในไตรมาสที่ 3-4 ปี 2563”

นอกจากนี้ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค.-พ.ค. 2563)  ลูกค้าประกันการส่งออกของเอ็กซิม แบงก์ ยื่นเอกสารผู้ซื้อในต่างประเทศที่ชำระเงินล่าช้า เพิ่มขึ้น 195% คิดเป็นมูลค่าการส่งออกค้างชำระกว่า 617.33 ล้านบาท ทำให้มีลูกค้ายื่นขอรับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 24 ราย มูลค่า 284.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 226% จาก 12 ราย มูลค่า 87.50 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้า จำนวน 92% รองลงมาคือ ผู้ซื้อล้มละลาย จำนวน 8% โดยประเทศที่มีมูลค่ายื่นขอรับค่าสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ส่วนประเภทสินค้าที่มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุดได้แก่ ข้าว อาหารกระป๋อง อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น