เอสเอ็มอีแบงก์ เกาะติดลูกหนี้วงเงิน 30,000 ล้านบาท



เอสเอ็มอี แบงก์ พยายามหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อมิให้เป็นหนี้เสีย เพราะเอสเอ็มอี ถือเป็นกลไกสำคัญสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

  • หวั่นเป็นหนี้เสีย ห่วงสุด 2,000 ล้านบาท
  • ปรับแผนเพิ่มเงินสำรองในปี66-67
  • เป็นเดือนละ 100 ล้านบาท

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)​หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยว่า ในช่วงวิกฤตโควิด-19  ธนาคารได้เติมทุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ขาดสภาพคล่องไปราว 158,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ปี2563 วงเงิน 42,000 ล้านบาท ปี2564 วงเงิน  48,000 ล้านบาท และ ปี2565 วงเงิน  68,000 ล้านบาท  โดยในจำนวนนี้ได้กลายเป็นลูกหนี้ที่กำลังจะประสบปัญหาหนี้เสียราว 30,000 ล้านบาท  

ทั้งนี้ในวงเงิน 30,000 ล้านบาทนั้น ธนาคารได้วิเคราะห์สถานการณ์เพื่อช่วยเหลือให้ตรงจุดและแบ่งกลุ่มปัญหาหนี้ โดยวงหนี้ที่กังวลที่สุดมีเพียง 2,000 ล้านบาท โดยธนาคารจะเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดปัญหาหนี้เสีย โดยจะพยายามอย่างที่สุด มิให้เกิดหนี้เสีย ส่วนหนี้ที่เหลือ 28,000 ล้านบาทนั้น เป็นหนี้ ที่คาดว่าแก้ไขปัญหาได้ทั้งขยายระยะเวลาการชำระและลดวงเงินผ่อนชำระได้  ซึ่งได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เพื่อประคับประคองให้เอสเอ็มอีอยู่รอดให้ได้  ส่วนการสำรองเงินเพื่อป้องกันหนี้เสีย ธนาคารได้ปรับแผนดำเนินการในปี2566-2567 ด้วยการเพิ่มเงินสำรองเดือนละ 100 ล้านบาท หรือปีละ 1,200 ล้านบาท  จากเดิมจะเพิ่มสำรองช่วงสิ้นปี นอกจากรองรับหนี้เสียแล้ว ยังต้องเตรียมการรองรับมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 9 (TFRS 9)  ที่จะมีผลบังใช้ในปี2568นี้

“ธนาคารฯ ได้พยายามหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้  โดยที่ผ่านมาธนาคารได้ทำแบบสอบถามความคิดเห็นต่อลูกค้าที่เข้ามาปิดบัญชีกับธนาคารเกี่ยวกับความช่วยเหลือที่ลูกค้าต้องการ ส่วนใหญ่ตอบว่า อยากให้มีการรวมหนี้ไว้ที่เดียว เพื่อลดความยุ่งยากในการบริหารจัดการหนี้  เนื่องจากลูกค้ามีหนี้จากหลายแหล่งทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งเรื่องหนี้ เป็นเรื่องที่ยากต่อการจัดการมาก โดยในส่วนของธนาคารนั้น ไม่สามารถรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้บางประเภทได้ เช่น หนี้บ้าน และหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น” 

สำหรับภาพรวมการปล่อยสินเชื่อครึ่งปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.66) อยู่ในเกณฑ์ที่ดี มียอดปล่อยสินเชื่อ 31,000  ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท โดยสินเชื่อที่ปล่อยใหม่นั้น ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง ไม่ได้เป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุน และเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากย่ิงขึ้น  จะมีการลงทุนใหม่ๆเกิดขึ้นแน่