“เศรษฐา” ลั่นไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนครั้งใหญ่ เล็งขึ้นแท่นศูนย์กลางโค้งสุดท้ายยานยนต์สันดาป



นายกฯประกาศชัด ไทยพร้อมต้อนรับการลงทุนครั้งใหญ่จากต่างชาติ จ่อเดินสายประชุมเอเปค พ.ย.นี้ หวังปิดดีลลงทุนจากบริษัทยักษ์ พร้อมแก้ปัญหาน้ำ “ไม่ท่วม ไม่แล้ง”

วันนี้ (29 ก.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Next Chapter ประเทศไทย ภายในงาน ถอดรหัสลงทุน ก้าวข้ามวิกฤต จัดโดยประชาชาติ ว่า เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปการประชุมสหประชาชาติ ที่สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการประกาศให้ผู้นำทั่วโลกรู้ว่า จากนี้ประเทศไทยพร้อมเปิดประเทศแล้วสำหรับการทำธุรกิจกับทุกๆ ประเทศ โดยจากนี้จะมีผู้นำ และคณะรัฐบาลเดินทางออกไปเชื่อมสัมพันธไมตรีทางการค้ากับหลายประเทศมากขึ้น เพื่อเชิญชวนนักลงทุน

รวมถึงจะให้ความสำคัญกับการทำสนธิสัญญาทางการค้า (FTA) เพราะเหตุผลหนึ่งที่ประเทศไทยแพ้เวียดนาม คือเรื่องของ FTA ที่ไทยมีน้อยกว่า เนื่องจากเหตุผลไทยไม่ได้ออกไปประกาศว่า เราจะมีการเปิดประเทศครั้งใหญ่ และไม่ได้นำเอกชน องค์กรรัฐที่ให้การสนับสนุนองค์กรระหว่างประเทศ เข้ามามีส่วนในการโฆษณาที่มากพอ

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า จากการประชุมสหประชาชาติ ก็มีหลายบริษัทต่างประเทศให้ความสนใจ เช่น Tesla, Google และ Microsoft เป็นต้น ซึ่งการลงทุนครั้งหนึ่งของบริษัทใหญ่เหล่านี้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯรวมถึงจะมีธุรกรรมต่อเนื่องตามมาอีกมาก ซึ่งไทยก็มีความคาดหวังอย่างสูงว่าจะเกิดขึ้น และจะมีการหารือต่อเนื่องจากนี้

นอกจากนี้ การประชุมเอเปค ที่ซานฟรานซิสโก ที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน พ.ย.66 ก็จะมีการนัดหมายกันว่าจะมีการหารือต่อ และเป็นความหวังว่า จะมีการตกลงกันได้ในขั้นพื้นฐานกับหลายบริษัท ซึ่งเป็นนิมิตรหมายอันดีกับทั่วโลกว่าประเทศไทยพร้อมเปิดประเทศแล้ว รวมถึงพร้อมสำหรับการยกระดับการลงทุนครั้งใหญ่เพราะเราไม่สามารถพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉพาะในภาคการเกษตรได้เพียงอย่างเดียว

“จากนี้ประเทศไทยต้องไปเชื้อเชิญลงทุน พร้อมสร้างความมั่นใจ ว่าไทยมีแพ็คเกจการสนับสนุนด้านการลงทุนอย่างดีให้พวกเขา และเหนือสิ่งอื่นใดการเข้ามาลงทุน ก็มีการเข้ามาอยู่ของนักลงทุน ทีมงาน ครอบครัว ต้องเข้ามาในประเทศไทยอีกมาก ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือวิธีการทำธุรกิจ การทำวีซ่า ก็ต้องได้รับการสนับสนุนที่ดีควบคู่ไปด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย ด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็เป็อีกเรื่องที่ต้องมีดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เรื่องของสนามบินก็สำคัญ ฉะนั้น จะกระจุกตัวอยู่เพียงที่จังหวัดกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ คงไม่ได้ ซึ่งจะต้องมีการขยายอย่างมาก ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวนั้น ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นแค่ประเด็นหนึ่ง จากนี้คงต้องเน้นระยะเวลาการอยู่ จะต้องมีการพัฒนาเมืองรอง เพื่อสร้างความต้องการชงทุนของต่างประเทศก็เป็นเรื่องสำคัญ

“จุดนี้กระทรวงต่างๆ คงต้องช่วยกันโปรโมท ซึ่งจะเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ช่วยเหลือประชาชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นนโยบายที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว”

นอกจากนี้ ในช่วงเดือน ธ.ค.66 รัฐบาลจะมีการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือเรื่องเกี่ยวกับยานยนต์ โดยขณะนี้างญี่ปุ่นมีความกังวลเรื่องตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอีวี ว่ารถยนต์ไฟฟ้าอีวีได้เข้ามาในประเทศไทยแล้ว จะทำให้ทางญี่ปุ่นเสียเปรียบด้านธุรกิจ เพราะการพัฒนารถยนต์อีวีของญี่ปุ่นอาจล่าช้าากค่ายยานยนต์อื่นไปเล็กน้อย ทั้งนี้ ได้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ว่า รัฐบาลนี้จะไม่ลืมบริษัทต้นน้ำ ไม่ลืมพระคุณที่รัฐบาลญี่ปุ่นเคยช่วยเหลือประเทศไทยมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

“แม้วันนี้ไทยจะสนับสนุนยานยนต์อีวี ก็ยังสนับสนุนต่อ และยังดูแลธุรกิจแบบเดิมนั้นคือโรงงานผลิตรถยนต์สันดาปเพราะจากการประเมินรถสันดาปต้องมีอยู่ในไทยต่อไปอีก 10-15 ปี ก็ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้ซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมนี้ยังมีในประเทศไทย หากทำไปโดยไม่มีการสนับสนุน พี่น้องประชาชนทาอยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าวก็จะเดือดร้อน ซึ่งรัฐบาลจะมีการหารือเรื่องนี้ต่อเนื่อง” นายเศรษฐา กล่าว

ทั้งนี้ ในเดือน ธ.ค.66 นี้ ก็จะมีการหารือกับสมาคมยานยนต์ ว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศไทย ก้าวมาเป็นศูนย์กลางช่วงสุดท้ายของการผลิตรถยนต์สันดาป ซึ่งอาจจะมีการสร้างแรงจูงใจบางประการ เพื่อให้รถยนต์สันดาปมีอนาคตยาวออกไป เพื่อให้ซัพพลายเชนสามารถอยู่คู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงไปได้

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ประชาชาชนเดือดร้อนมาก หากไม่มีการเยียวยาหรือบริหารจัดการที่ดี ซึ่งหลายท่านอาจจะเรียกว่านโยบายประชานิยม หรือนโยบายหาเสียง แต่มีอีกหลาย 10 ล้านคน ที่ขณะนี้มีความเดือดร้อนอยู่ รัฐบาลนี้ตี้งใจแก้ปัญหาเพื่อประชาชน อะไรที่สามารถทำได้ก็จะเร่งลงมือทโดยเร็ว เช่น การลดค่าไฟ 2 ครั้ง ที่ปัจจุบันเหลือค่า FT ที่ 3.99 บาท รวมถึงเรื่องการพักหนี้เกษตรกร ก็จะช่วยเกษตรกรได้มีทุนทำการเกษตรต่อไป เป็นต้น

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการพักหนี้เกษตรกร มีการทำมาแล้วถึง 13 ครั้ง ภายในระยะเวลา 9 ปี แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ซึ่งในรอบนี้รัฐบาลไม่อยากให้มีการพักหนี้ระยะต่อไปอีก โดยจะมีการใช้การตลาดนำนวัตกรรมมาเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ซึ่งรัฐบาลวางแผนที่จะไปเปิดตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งหากมองจริงๆ ไทยยังมีตลาดด้อยกว่าประเทศอื่นๆโดยที่ผ่านมาไทยให้ความสำคัญกับประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และอียู ซึ่งก็เล็งจะทำตลาดในประเทศตะวันออกกลาง แอฟริกา มากขึ้น ซึ่งประเทศเหล่านี้ยังไม่ค่อยมีความมั่นคงทางด้านอาหารมากนัก ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการบุกตลาดนี้ ซึ่งก็จะทำให้ไทยมีดีมานด์มากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลยังจะมีการนำนวัตกรรมการให้ปุ๋ยตรงตามความต้องการ และระบบชลประทานที่ดี มาบูรณาการแก้ปัญหาให้พี่น้องเกษตรกร ซึ่งก็จะทำให้การพักหนี้เกษตรกรน้อยลงได้

“ประชาชนหลายคนคงมีคำถามในใจว่า นโยบายการจำนำ ประกันรายได้ หรือจ้างผลิต ในรัฐบาลนี้จะมีหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่มีความประสงค์จะทำนโยบายเช่นนั้น โดยจะเน้นใช้ิธีการตลาดนำนวัตกรรมเสริม ยกเว้นแต่มีเหตุภัยพิบัติร้ายแรง ก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งตรงนี้ทางรัฐบาลตระหนักดีว่า เป็นอะไรที่ไม่ควรทำ” นายเศรษฐากล่าว

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวตนยังมีความกังวลในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ที่จากนี้จะต้องทำให้ไทย “ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ที่อาจจะกระทบภาคการเกษตรกร และภาคอุตสาหกรรม โดยหากไม่มีการบริหารจัดการน้ำที่ดี อาจส่งผลให้ระบบน้ำในโรงงานอุตสาหกรรม อาจขาดแคลนได้ในช่วงเดือน เม.ย.67 ทั้งนี้ กรมชลประทานมีความตระหนักดี จึงเริ่มมีการผันน้ำเข้ามา ซึ่งก็ทำให้มีความหวัง โดยในเรื่องบริหารจัดการน้ำ ถือเป็นเรื่องที่มีผลต่อการไปเชิญชวนนักลงทุน หากไปเชิญให้เข้ามาลงุนในประเทศไทยมาก หากไทยประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ ก็จะเป็นข้อจำกัดของการเข้ามาลงทุนเพราะอุตสาหกรรมต่างๆ มีความต้องการใช้น้ำเป็นอย่างมาก โดยจากความกังวลนี้ จึงได้สั่งการให้กรมชลประทานดูแลไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น พร้อมดูแลควบคู่ไปกับการเกษตรกรรมด้วย