

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เขียนบทความ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ วิกฤติหนี้ของเอสเอ็มอีไทย จะรอดได้อย่างไร โดยเรื้อหาระบุว่า…
ถ้าใครที่ติดตามผมเป็นประจำผ่าน twitter @thavisin คงจะเคยเห็นข้อคิดที่ผมนำเสนอกับทางรัฐบาลเรื่องของมาตรการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SME’s โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (soft loan) ให้แก่ธุรกิจ SME’s วงเงินรวม 5 แสนล้านบาท
ที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจาก SME’s เหล่านี้มีความสำคัญมากๆ ต่อเศรษฐกิจไทยและเป็นแหล่งการจ้างงานหลักของประเทศเลยทีเดียว จากรายงานของ สสว. ปีที่แล้ว SME’s เหล่านี้มีมูลค่าทางธุรกิจถึง 5.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 35.3% ต่อ GDP รวมทั้งประเทศเลยทีเดียว ตัวเลขปีนี้น่าจะขึ้นไปอยู่ที่ 43% และตัวเลขการจ้างงานของSME’s นั้นเรามองกันอยู่ที่ 14 ล้านคน หรือ 85% ของแรงงานทั้งประเทศเลยทีเดียว แบบนี้ไม่ต้องเข้าใจเศรษฐกิจลึกก็คงเห็นภาพนะครับว่า SME’s สำคัญแค่ไหน
ช่วงที่เดินสายพูดคุยกับผู้บริหารสถาบันการเงินรายใหญ่ๆ เรื่องสินเชื่อใหม่ของ SME’s นี้ถูกยกเป็นประเด็นสำคัญเกือบทุกที่เลยทีเดียว เรื่องหนึ่งที่เราเห็นตรงกันคือเงื่อนไขที่หยุมหยิมทำให้ผู้ประกอบการไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำตามหรือคืนหนี้ได้ตามกำหนด ซึ่งก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เพิ่งปล่อยสินเชื่อไปได้ไม่ถึง 1 ใน 3 ของวงเงิน 5 แสนล้าน นับว่าออกไปได้น้อยมากเมื่อเทียบกับความเร่งด่วน และดูเหมือนว่าสัดส่วนของเงินที่ออกไปส่วนมากจะตกอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่พันรายเท่านั้น (รายเล็ก 55,666 รายได้รับเงินกู้นี้แค่ 31,005ล้านบาท ขนาดกลาง 12,445 ราย ได้ 42,980 ล้านบาท ในขณะที่รายใหญ่ 4,621 รายได้วงเงินถึง 46,110 ล้านบาท: ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน)
อีกแนวคิดที่ผมเสนอผ่านทวิตเตอร์ไปก็คือเรื่องของ “แม็ทชิ่งฟันด์” ที่รัฐจ่ายให้ครึ่ง ธนาคารหลักของ SME นั้นให้อีกครึ่ง ที่เสนอแบบนี้เพราะเข้าใจสถานการณ์ของผู้ประกอบการว่าตอนนี้จะส่งตัวเลขงบมาขอสินเชื่อเพิ่มตัวเลขคงไม่สวย ตามหลักการธนาคารจะปล่อยกู้เต็มวงเงินที่ขอมาก็คงยาก ดังนั้นรัฐต้องเข้ามาช่วย โดยผู้ประเมินความเสี่ยงให้ไม่ให้คือสถาบันการเงิน ถ้าผ่านก็จ่ายคนละครึ่งกับรัฐบาลไม่เห็นต้องกลัวอะไรเพราะได้รับการประเมินจากมืออาชีพแล้ว โดยเงื่อนไขคือต้องเอาเงินไปต่อเงินเพื่อดำเนินกิจการเท่านั้น ห้ามเอาไปใช้หนี้เก่า ทั้งนี้เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ มีเงินหมุนเวียนในระบบ และถ้าหากผู้ประกอบการฟื้นตัวได้ก็ต้องคืนเงินก้อนแม็ทชิ่งฟันด์ที่รัฐบาลและสถาบันการเงินลงกันคนละครึ่งก้อนนี้ให้หมดก่อน หนี้เก่าค่อยว่ากันทีหลังเพื่อภาพใหญ่ธุรกิจเดินได้ ลดปัญหาว่างงานปัญหาหนี้เสีย และเพิ่มผลผลิตมวลรวม อีกทั้งเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเร็วขึ้นและมากขึ้น
ผมว่าช่วงนี้ใครช่วยอะไรได้ก็ต้องช่วยกันครับ อย่างทางเราเองก็ได้เริ่มนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างวัตถุดิบต่างๆ จากผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับกระบวนการทำงานที่มีรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งก็ต้องยอมเพื่อช่วยๆ กันในสถานการณ์แบบนี้ ก็หวังว่าผู้ประกอบการทุกรายจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ด้วยกันครับ