เล็งปรับศูนย์ EOC สนามบินสุวรรณภูมิ ขอตำรวจ-ทหารบัญชาการ



  • “ชัยวัฒน์”ปลัดกระทรวงคมนาคมยอมรับ ขอถอดบทเรียนสถานการณ์แหกกักตัวสุวรรณภูมิ
  • ปรับศูนย์ EOC ประสานขอผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นตำรวจ-ฝ่ายความมั่นคง

นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงสถานการณ์ที่มีผู้โดยสารกว่า 100 คนเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อคืนที่ผ่านมา และปฏิเสธที่จะให้เจ้าหน้าที่กักตัว 14 วัน ในพื้นที่ที่หน่วยงานรัฐเตรียมไว้ ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และ กพท. ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า จำเป็นต้องถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินสนามบินสุวรรณภูมิ (EOC) ในส่วนของพื้นที่การคัดกรองด้านใน เจ้าหน้าที่จากสาธารณสุข และ สนามบินสุวรรณภูมิ ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน)(ทอท.)เจ้าของพื้นที่ คือ สามารถจัดการดูแลพื้นที่ได้ แต่เมื่อออกมาด้านนอก ซึ่งจะต้องมีการนำผู้โดยสารไปกักตัวตามมาตรการนั้น จำเป็นจะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารฝ่ายความมั่นคง เข้ามาบัญชาการเหตุการณ์

อย่างไรก็ตามยืนยันว่า สถานการณ์การป้องกันการระบาดไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ และมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หน่วยงานภาครัฐขอเน้นย้ำให้ประชาชนทั่วไปหรือผู้โดยสารที่เดินทาง ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การป้องกันการระบาดประสบผลสำเร็จ

ส่วนประเด็นที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท. มีการออกประกาศไม่ให้เที่ยวบินพาณิชย์ จากต่างประเทศเดินทางเข้าไทยจนถึงวันที่ 6 เมษายนนี้ หรือ 3 วัน โดยแนวปฏิบัติหลังจากครบกำหนด จะต้องดำเนินการอย่างไรนั้น ปลัดกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ประกาศของ กพท.ที่ออกมา ได้ก็เพื่อแก้ปัญหาผู้โดยสารที่อยู่ระหว่างการเดินทางซึ่งถือว่าเป็นผู้โดยสารที่ค้างท่อ แต่ทั้งหมดก็ต้องเข้ามาตรการการกัดตัว 14 วัน ส่วนหลังจากนี้ ซึ่งกระทรวงต่างประเทศ โดยสถานทูตในต่างประเทศ ไม่ได้มีการออกเอกสารรับรองให้เดินทาง ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่ 15 เมษายน 2563 ในระหว่างนี้ก็เชื่อว่าจะไม่มีเที่ยวบินหรือผู้โดยสารที่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยจากต้นทางได้อยู่แล้ว

ด้านนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท. เปิดเผยว่า ก่อนการประกาศห้ามเครื่องบินเข้าไทย เป็นเวลา 3 วัน จะมีเที่ยวบินเข้าไทยประมาณวันละ 20-25 เที่ยวบิน โดยในจำนวนนี้เป็นเที่ยวบินขนส่งสินค้า (คาร์โก้) วันละประมาณ 5 เที่ยวบิน ทั้งนี้หลังจากออกประกาศแล้ว จะส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินที่เข้าไทยไม่มากนัก และการออกประกาศที่ชัดเจน จะทำให้สายการบินตัดสินใจยกเลิกทำการบินมาไทยชั่วคราว ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการควบคุมโรค

นอกจากนั้นภายหลังจากที่ กพท.ได้ออกประกาศห้ามเที่ยวบินจากต่างประเทศทั่วโลกบินเข้าไทย ระหว่างวันที่ 4 – 6 เม.ย.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าหลังเที่ยงคืนที่ที่ผ่านมา (4เม.ย.) มีเที่ยวบิน 1 เที่ยวบิน จากประเทศอิหร่านบินมาถึงประเทศไทยช่วงเช้าที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเที่ยวบินสุดท้าย แต่ผู้โดยสารทุกคนจะถูกนำไปกักตัว 14 วัน และหลังจากนี้จะไม่มีสายการบินใดบินเข้ามาอีก ยกเว้นเที่ยวบินเปล่าที่มีการประสานจากประเทศต้นทาง เพื่อขอเข้ามาขนผู้โดยสารของประเทศนั้นกลับออกจากไทย ซึ่งมีการแจ้งล่วงหน้า และบางส่วนเป็นเที่ยวบินขนส่งสินค้า หรือคาร์โก้

ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ในช่วงนี้จะต้องมีการประเมินผลหลังจากประกาศห้ามเที่ยวบินเข้าประเทศไทยเป็นเวลา 3 วัน ก่อน ส่วนจะต่อหรือขยายเวลาการสั่งห้ามหรือไม่อย่างไร ต้องรอผลการประเมินในช่วงนี้ก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ศูนย์บริหารสถานการณ์การ แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ระบุว่า การประกาศสั่งห้ามเที่ยวบินบินเข้าประเทศไทย เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและเป็นการประเมินแผนการรับมือกับการที่จะกำหนดให้ผู้โดยสารที่เดินทางกลับจากต่างประเทศจะต้องถูกกักตัวไว้ในสถานที่ที่ภาครัฐกำหนดเป็นเวลา 14 วัน หากกำหนดเป็นช่วงเวลานานๆ เช่น 15 วันหรือ 30 วัน จะเกิดปัญหาการอั้นของผู้โดยสารและทะลักกลับมาในคราวเดียวกันจำนวนมาก ส่งผลต่อการรับมือกับสถานที่ในการกักตัวให้เพียงพอได้ยาก ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่า หลังจากนี้อาจต้องประสานกับกระทรวงการต่างประเทศในการกำหนดจำนวนผู้โดยสารที่จะบินกลับเข้าไทยในแต่ละรอบเพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่ที่จะรองรับการกักตัวด้วย

“ หลังจากนี้ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ จำเป็นจะต้องมีการกักตัวไว้ก่อน 14 วัน เนื่องจากข้อมูลกรมควบคุมโรตกระบุชัดเจนว่า ผู้ติดเชื้อมาจากกลุ่มที่กลับจากต่างประเทศเป็นหลัก ดังนั้นการจะควบคุมสถานการณ์การติดเชื้อจึงต้องเริ่มที่กลุ่มนี้ ส่วนมาตรการที่จะออกมาจะประเมินกับสถานการณ์ในแต่ละวันประกอบการตัดสินใจด้วย “