

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ไม่ใช่ความชัดแย้งแต่เป็นความเห็นต่าง และเป็นมติของแต่ละพรรค ซึ่งหลายครั้งที่พรรคก้าวไกลขอยืนตามแนวทางของเขาเราก็ให้เกียรติ ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ขอให้เป็นไปตามแนวทางของพรรคเพื่อไทยเอง หากเคารพมติของแต่ละพรรคก็ไม่มีปัญหาอะไรสามารถทำงานต่อไปได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่จึงมีความเห็นที่แตกต่างกัน เป็นการกระทบกระทั่งกันตามปกติ ซึ่งเราคิดว่ามันจะผ่านไป และเรื่องอื่นที่เห็นตรงกันก็มาทำร่วมกัน เชื่อว่าจะดีขึ้นเอง เพราะตนดูประวัติศาสตร์แล้วไม่มีพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือพรรคร่วมรัฐบาลใดที่ไปด้วยกันได้ทุกเรื่อง สุดท้ายก็ไปกันได้ปรับความเข้าใจกันได้
นายสุทิน กล่าวด้วยว่า หลังจากที่มีการพิจารณาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยวานนี้ (25 ส.ค.) เราไม่ได้ใช้อารมณ์แต่ใช้หลักการว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ หลักการคือให้ประชาชนเป็นคนเขียน ถ้าประชาชนเป็นคนเขียนคือการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งพรรคเพื่อไทยเห็นตามแนวทางนี้ หากอยากปิดสวิทช์ หรือ ตัดอำนาจใครก็ให้ส.ส.ร.เป็นคนคิด เราเพียงผลักดันรณรงค์และนำเสนอเรื่องดังกล่าว
ซึ่งเมื่อมีการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ไปแล้ว แล้วจะมายื่นแก้ไขมาตรา 272 อีก ก็จะมองว่าขัดกันเองเพราะแปลว่าเราจะเขียนรัฐธรรมนูญเองใช่หรือไม่ ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ทำไปหรือกำลังสับสน ว่าบางเรื่องให้ส.ส.ร.เขียนบางเรื่องเราเขียนเอง ซึ่งจะทำให้เราตอบตัวเองและสังคมไม่ได้
ส่วนที่ถามว่าเราอยากปิดสวิทช์ส.ว.หรือไม่นั้น ยืนยันว่าเราอยากปิด และอยากทำอย่างรวดเร็ว เพราะพรรคเพื่อไทยคือคนที่ได้รับผลกระทบจากการมีส.ว.มากที่สุด ตัวอย่างการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทยได้ส.ส.มากที่สุด แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็เพราะส.ว. หากยังคงอำนาจส.ว.ไว้เช่นนี้ เลือกตั้งครั้งหน้าหากเราชนะก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้อีกเพราะยังมีส.ว. จึงเกิดคำถามตามมาว่าใครจะเป็นคนปิดสวิทช์ พรรคเพื่อไทยจะปิดเองหรือจะร่วมกับพรรคก้าวไกลในการแก้ไขมาตรา 272 หากคำนึงถึงความเป็นไปได้ ส.ว.จะยกมือให้ผ่านหรือไม่ เพราะต้องใช้เสียงส.ว. 84 เสียงหมายความว่าเราจะให้ส.ว.ยกมือปิดอำนาจตัวเอง เอามีดตัดแขนตัวเอง เราวิเคราะห์แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ จึงมองว่ายังไม่ควรที่จะยื่น ซึ่งมองว่ามีจังหวะที่รอให้สถานการณ์สุกงอม สังคมมีความชัดเจน ผู้ชุมนุมมีพลังสูงกว่านี้ เราอาจจะยื่นตอนนั้นก็ได้ ดังนั้น เมื่อรู้ว่าแพ้จะรบไปทำไม รอไว้รบเมื่อตอนที่คิดว่ามีโอกาสจะชนะดีกว่า
“เหมือนวัยรุ่นกับคนมีประสบการณ์ เมื่อวัยรุ่นโกรธใครก็เดินเข้าไปชกเลย ซึ่งไม่ได้ประเมินว่าเขามีปืนหรืออาวุธหรือไม่ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ เมื่อโกรธก็จะตรวจสอบก่อนว่าเขามีอาวุธหรือไม่ รวมถึงประเมินกำลังเขาก่อนหากเขามีอาวุธก็ควรปลดอาวุธก่อนค่อยชก ซึ่งมันต่างกันตรงนี้ ดังนั้น ย้ำว่าเราอยากปิดสวิทช์ส.ว. แต่เบื้องต้นจะให้ส.ส.ร.เป็นคนปิด เราต้องการรักษาหลักการนี้ไว้ก่อน แต่หากดูแล้วส.ส.ร.ไม่ปิดให้เรา เราก็ต้องยื่นปิดเองแต่ไม่ใช่วันนี้อาจจะ 3 – 4 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ สิ่งที่ต่างกันอีกอย่าง พรรคก้าวไกลคิดว่าวันนี้แม้ส.ว.จะไม่อยากปิดตัวเอง แต่มวลชนมีพลังพอที่จะบีบให้ส.ว.ยอมร่วมกับเรา แต่ทางเราประเมินต่างกัน ว่าวันนี้พลังมวลชนเองมีพลังเยอะ แต่ยังอาจไม่ถึงขั้นไปไล่เขาจนสุดซอยได้” นายสุทิน กล่าว
นายสุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนวันนี้ที่มองว่ารัฐบาลยอมให้ตั้งส.ส.ร.เพราะพลังมวลชนให้แก้มาตรา 256 ก็ต้องยอมรับว่าใช่ และตนขอคารวะพลังมวลชน แต่เราประเมินว่าหากบีบเขา เขาก็ทำให้เราได้ในระดับหนึ่งโดยการยอมให้แก้ไขมาตรา 256 แต่ถ้าจะไปไล่เขาจนสุดซอยให้ปิดตัวเอง เราคิดว่ายังไม่ใช่ เมื่อประเมินแบบนี้พรรคเพื่อไทยจึงต่างกับพรรคก้าวไกล ที่มองว่าพลังมวลชนมีจริงแต่ยังไม่ถึงจุดนั้น เราขอเวลาอีกสักพักได้หรือไม่
เมื่อถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะรอได้หรือไม่ เพราะหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าพรรคก้าวไกลจะยื่นญัตติแก้ไขมาตรา 272 เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้ชุมนุม นายสุทิน กล่าวว่า เราเคารพเสียงของผู้ชุมนุมว่าเขาต้องการส.ส.ร. ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็สนองตอบ แต่ถ้าวันนี้ผู้ชุมนุมคิดว่าจะเปลี่ยนไม่เอาส.ส.ร.แล้วจะยื่นแก้ไขมาตรา 272 เอง เราก็เคารพพร้อมกับประเมินว่าสิ่งที่อยากได้ใหม่ในการยื่นแก้ไขรายมาตราจะเป็นไปได้หรือไม่ หากเป็นไปไม่ได้ เราก็จะต้องทำในสิ่งที่เป็นไปได้ก่อน ตนยังเชื่อว่า ความเห็นของเราตรงกันทั้งหมด แตกต่างกันแค่รายละเอียดว่าวันนี้อะไรทำได้อะไรที่ยังทำไม่ได้
ซึ่งขอย้ำว่า ผู้ชุมนุมอยากได้ส.ส.ร. เราก็ทำตามนี้ ส่วนการยื่นแก้ไขมาตรา 272 ต้องประเมินว่าจะให้ส.ส.ร.ทำ หรือเราทำเอง และวันนี้จะทำได้หรือไม่ เพราะเท่าที่ประเมินคิดว่าส.ว.ยังไม่ยอม ส่วนจะได้เห็นหน้าตาส.ส.ร. และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อไหร่นั้น ตามกำหนดที่ประเมินไว้จะได้ส.ส.ร.ไม่เกินเดือนก.พ.2564 หรืออาจจะเร็วกว่านั้นหากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย จากนั้นจึงจะเริ่มผลักดันในสิ่งที่ต้องการ เช่น การปิดสวิทช์ส.ว.ในการแก้มาตรา 272 ถ้าส.ส.ร.ทำให้เราก็ดี แต่ถ้าไม่ทำจะเกิดความชอบธรรมที่จะบอกกับสังคมว่าเราขอทำเอง
เมื่อถามว่า ความเห็นต่างนี้ทำให้มวลชนเกิดความไม่พอใจพรรคเพื่อไทย นายสุทิน กล่าวว่า เรายอมรับว่าผู้ชุมนุมบางส่วนอาจจะไม่พอใจ เพราะอาจจะไม่เข้าใจ แต่เชื่อว่าได้อธิบาย ได้เรียนรู้โลกความจริง เขาจะเข้าใจเรา ตนขอย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีสามกลุ่ม คือ กลุ่มที่ลดกระแส สร้างกระแส และกลุ่มที่แก้แล้วให้สำเร็จได้จริง ซึ่งพรรคเพื่อไทยแก้เพื่อหวังผลจริงๆอาจจะไม่ทันใจ ไม่ถูกใจ เราก็ต้องขอโทษ แต่ให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราเสนอทำได้จริง แต่อาจจะช้าและไม่สะใจ และเชื่อว่า วันหนึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมจะเข้าใจเรา