“เพื่อไทย”จับตาที่ประชุม ครม.8 ก.พ.นี้ มหาดไทยทิ้งทวนขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวมูลค่า 4 แสนล้าน



นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาเรียกร้องให้จับตาการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคารที่ 8 ก.พ.2565 จะมีวาระขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยจะขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไป 40 ปีให้กับบีทีเอส มูลค่า 4 แสนล้านบาท เพื่อให้ ครม.อนุมัติในช่วงที่กำลังชุลมุน

“เรื่องนี้มีความผิดปกติมากเพราะพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)ในเดือน พฤษภาคม ถามว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผูกพันอนาคตคนกรุงเทพฯ ออกไปอีก 40 ปีข้างหน้า ทำไมไม่รอให้ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่เข้ามาตัดสินใจ แบบนี้เรียกว่าทิ้งทวนหรือไม่ ความไม่โปร่งใสในการต่อขยายสัญญาสัมปทานออกไปอีก 40 ปีนั้น ในเส้นทางหลักของบีทีเอสจะหมดสัญญาในปี 2572 ถามว่าแล้วจะเร่งรีบต่อสัญญาไปทำไม ขณะที่ กทม.จะขยายสัญญาสัมปทานโดยที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้ของ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)โดย กทม.ควรชำระหนี้ให้ รฟม.เรียบร้อยก่อน เพราะส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟม. กทม.ยังไม่ได้รับโอน”รองหัวหน้าพรรคเพื่อนไทย กล่าว

นายยุทธพงศ์ ยังได้ตั้งคำถามด้วยว่า กทม.จะยกส่วนสัมปทานไปให้บีทีเอส ได้อย่างไร ผิดกฎหมายชัดๆ หาก กทม.บอกว่าตัวเองเป็นหนี้เพราะเปิดให้นั่งฟรีตั้งแต่ปี 60 ไม่อยากให้บริการส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้แล้ว ก็ควรเสนอครม.ให้ทบทวนมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 61 และให้ รฟม.ไปดำเนินการเองเพราะเขาเป็นเจ้าของ

“การจะโอนกรรมสิทธิ์มาโดยไม่จ่ายเงินนั่นทำได้หรือ หากตัวเองไม่อยากทำหรือเป็นหนี้ก็โอนกลับไปให้ รฟม.ดำเนินการ และหากบีทีเอสอยากต่อสัญญาในเส้นทางหลัก ต้องแจ้งกทม.ไม่น้อยกว่า3ปี และไม่เกิน5ปี ซึ่งแจ้งได้ตั้งแต่ช่วงปี 68 แต่ตอนนี้เพิ่งปี 65 ยังไม่ถึงเวลาที่บีทีเอสต้องแจ้งต่อสัญญาสัมปทาน”นายยุทธพงศ์ กล่าว

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า การที่ กทม.บอกมีภาระหนี้จากการจ้างเอกชนมาติดตั้งระบบการเดินรถ และว่าจ้างให้เอกชนวิ่งรถในส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้ซึ่งทำตั้งแต่ปี 59 ควรตรวจสอบว่าสัญญาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ เพราะไม่มีการประกวดราคา ยกให้บีทีเอสวิ่งรถเลย หนี้ถูกกฎหมายหรือไม่ เรื่องอะไรที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.ไปสร้างหนี้ขึ้นมาเป็นหมื่นล้านบาท ปล่อยให้ประชาชนนั่งฟรี จึงสงสัยในเรื่องความโปร่งใส เป็นการจัดฉากสร้างหนี้เพื่อให้ครม.ต่อขยายสัญญาสัมปทานหรือไม่ หนี้ก้อนแรกคืองานเดินรถไฟฟ้าและเครื่องกล 2 หมื่นล้านบาท ก้อนที่สองอีก 1 หมื่นล้าน เกิดจากผู้ว่าฯ อัศวินให้คนนั่งฟรีตั้งแต่เปิดมาปี 60 จึงเป็นสาเหตุที่จะยกสัมปทานให้เขา

“เรื่องนี้มีผลประโยชน์ก้อนใหญ่โดยกระทรวงมหาดไทยเสนอต่อขยายสัมปทานให้บีทีเอสตั้งแต่ปี 2572 ไปจบที่ปี 2602 กรณีนี้ต้องมีการศึกษาว่าถ้าให้เอกชนดำเนินการ หรือเอากลับมาเป็นของรัฐดำเนินการเอง ตัวเลขกำไรขาดทุนแบบไหนจะดีกว่ากัน แบบไหนประชาชนและประเทศชาติได้ประโยชน์มากกว่ากัน มีตัวเลขที่กระทรวงคมนาคมไปศึกษามา พบว่าหาก กทม.ดำเนินการเองหลังหมดปี 72 ไม่ต่อให้บีทีเอส ภาครัฐจะมีกระแสเงินสดสุทธิ 4.67 แสนล้านบาท ถ้าเอกชนดำเนินการจะมีกระแสเงินสดสุทธิแค่ 3.26 หมื่นล้านบาท เท่ากับรัฐดำเนินการเองมีกระแสเงินสดสุทธิมากกว่าถึง 4.35 แสนล้านบาท” นายยุทธพงศ์ กล่าว

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า มีตัวละครสำคัญไปเจรจาสายสีเขียวคือนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือดร.เอ้ โดยเมื่อวันที่ 11 เมษายน 62 มีคำสั่ง คสช.ที่3/2562 แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีดร.เอ้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ จากนั้นวันที่ 5 มิถุนายน 62 มีการแต่งตั้งดร.เอ้เป็นประธานคณะกรรมการเจรจาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว และเห็นชอบให้ต่อสัมปทานสายสีเขียวออกไปอีก 40 ปี ทั้งที่คนค้านเต็มบ้านเต็มเมือง ถามว่าดร.เอ้ สนิทแนบแน่นกับใคร ถ้าไปขึ้นรถไฟฟ้าทุกสถานีก็จะมีรูปโฆษณาดร.เอ้ ทุกสถานีรวม 450 ป้าย แสดงให้เห็นว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกันอยู่หรือเปล่า จ่ายเงินกันหรือไม่ เอาเงินที่ไหนมาจ่ายก็จะเกี่ยวพันกันกับบัญชีทรัพย์สินของดร.เอ้อีก

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ในวันที่ 8 ก.พ. พรรคร่วมรัฐบาลจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนหรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์จะเห็นชอบให้ผ่านสัญญาสัมปทานสายสีเขียวออกไปอีก 40 ปีหรือไม่ เพราะดร.เอ้เป็นตัวแทนสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคปชป. แล้วทำไมพล.อ.ประยุทธ์ ถึงต้องทิ้งทวนโครงการต่อขยายสัญญาสัมปทานสายสีเขียวออกไปอีกในช่วงที่กำลังจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หากต่อสัญญาสัมปทาน ค่าโดยสารไฟฟ้าจะขึ้นเป็น 65 บาทผูกพันไปถึง 40 ปีข้างหน้า และต้องถามหาจุดยืนของพรรคภูมิใจไทย ที่คัดค้านเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะผิดกฎหมายหนี พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทำค่าโดยสารแพงเกินจริง เป็นการผูกขาดตัดตอนเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายเดียวโดยที่ไม่มีการแข่งขัน และสัญญายังเหลือเวลาไปถึงปี 2572 ไม่มีอะไรต้องเร่งด่วน ถามว่าหมูแพง วัวตาย ชาวบ้านไม่มีจะกินทำไมไม่เร่งด่วนไปช่วย แล้วต่อสัมปทานรถไฟฟ้าด่วนอย่างไร เรียกทิ้งทวนหรือไม่

“พรรคเพื่อไทยเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.อนุพงษ์ในเรื่องนี้ ข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว ชัดเจนมาก คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นชนวนความขัดแย้งทำให้รัฐบาลพัง หากคุณไปต่อสัญญาให้เขาอีก 40 ปี ไม่มีทางที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าจะถูกลงได้ หากปี 2572 รถไฟฟ้ากลับมาเป็นของรัฐและผู้ว่าฯกทม.คนต่อไปให้สัมปทานกลับมาเป็นของ รฟม. ไม่ต้องเสียค่าแรกเข้า บัตรใบเดียวก็ไปได้ทุกสาย ค่ารถไฟฟ้าจะถูกลงอย่างแน่นอน ตอนนี้คนไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์แล้ว จะมาทิ้งทวนเพื่อเป็นภาระคนกรุงเทพฯ อีก” นายยุทธพงศ์ กล่าว