

เกิดอะไรขึ้นบ้าง? แล้วมีแนวทางเดินหน้าต่ออย่างไรไปสู่จุดหมาย?
“พรรคก้าวไกลมองในเชิงอุดมคติ ส่วนพรรคเพื่อไทย เรามีจุดหมายใกล้เคียงกัน แต่เรามอง ในเชิงการปฏิบัติที่เป็นจริง”
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2566 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวThe Room 44 เปิดใจด้านการเมือง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล จนถึงวันที่ฉีกเอ็มโอยู โดยนายภูมิธรรมกล่าวว่าถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองใน ระบอบประชาธิปไตย ทำงานในสภาผู้แทนราษฎรร่วมกัน ยังถือเป็นเพื่อนมิตรทางการเมือง เป็นพรรคที่มีความใกล้ชิดในวิธีคิดทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาประเทศใกล้เคียงกัน ที่ผ่านมาเวลามีอะไรที่หารือ ขอความร่วมมือกัน พึ่งพากัน ไม่ได้ขัดข้องอะไร
.เพื่อไทย-ก้าวไกล ดูเหมือนแต่แตกต่าง
แต่พอหลังจากทำงานกันมาเรื่อย ๆ เริ่มเห็นความแตกต่างในแนวทางความคิดกันบ้าง ในวิธีการดู หรือวิธีการแก้ปัญหา อาจมองปัญหาเหมือนกัน แต่วิธีการแก้ปัญหา มีระดับที่แตกต่างกัน หรือการมองปัญหาอาจมีความเข้มข้นในปัญหามองต่างกัน วิธีการย่อมแตกต่างกัน
เลือกตั้งครั้งนี้พรรคก้าวไกลได้อันดับ 1 พรรคเพื่อไทยอันดับ 2 ก็ยอมด้วยหลักการประชาธิปไตย ให้โอกาสพรรคก้าวไกล จัดรัฐบาลก่อน ตามธรรมเนียมการปฏิบัติที่ผ่านมา พรรคที่ 2 ไม่ยุ่ง เปิดให้ พรรคที่ 1 จัด ถ้าจัดไม่ได้ เรามีสิทธิจัดต่อ ถ้าเป็นอย่างไม่ยุ่งมาถึงขณะนี้ เพราะถ้าพรรคก้าวไกล มีอยู่แค่นั้นจริง ๆ ก็ไม่ใช่อย่างที่ไปอ้างว่า 312 เสียง เป็นแค่ประมาณ 170 กว่าเสียง ฉะนั้นวิธีการ หรือการสร้างความชอบธรรมก็แตกต่างไป แต่เราไม่คิดถึงประโยชน์ที่ได้รับเป็นหลัก ถึงตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคก้าวไกลตั้งแต่ต้น ไปร่วมได้ 310 หวังร่วมมือแล้วสามารถได้รัฐบาลที่แข็งแรงขึ้น
แต่สิ่งที่พลาดไป คิดไม่รอบคอบ คือ ลืมไปว่าเราอยู่ภายใต้กติกาทางการเมืองการปกครอง ที่ชำรุด ไม่สมองค์ประกอบที่ถูกต้อง ยังไม่สามารถฝ่าด่านได้ง่าย ๆ ต้องช่วยกันหาเสียงใน สว. มาร่วมอีกประมาณ 60-70 เสียง สะท้อนว่า เรามองเขาอย่างเป็นมิตรมาตลอด

.ไม่ได้หักหลัง คำพูดผลักมิตรไปยืนฝั่งตรงข้าม
ไม่ใช่อย่างที่บอกว่า หักหลัง คิดว่าเป็นการใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไป ฟังหลายเรื่องที่คุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล คุณรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล หรือบุคลากรของพรรคก้าวไกลพูด บางทีพูดอาจจะด้วยอารมณ์ หรือไม่ได้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ
“มันเป็นคำพูดที่ทำลายความสัมพันธ์เชิงมิตร ทำให้มิตรไปยืนฝั่งตรงข้ามกับ ตัวเอง อันนี้ผมก็ไม่สบายใจ ไม่ว่าจะไปออกรายการคุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ไปร้องเพลงเหมือน ถูกแทงข้างหลัง คุณโรม หรือคุณอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ ไปพูดหลาย ๆ เรื่อง ผมต้องถือว่าก้าวล้ำ หรือล่วงเกิน”
แต่เราเป็นบุคคลสาธารณะ ก็รับฟังได้ มันสะท้อนความรู้สึกผิดใจที่ร่วมกัน ตรงนี้ ผมไม่อยากเห็น ถ้าได้ไตร่ตรองจริง ๆ แล้ว เห็นว่าการตัดสินใจ การทำงานของพรรคเพื่อไทยจริง ๆ อยู่จุดที่เราพยายามร่วมมือ ร่วมใจกัน แต่สิ่งที่มองเห็นต่างกัน แม้มีจุดหมายหลายเรื่องเหมือนกัน แต่พรรคก้าวไกลมองในเชิงอุดมคติ ส่วนพรรคเพื่อไทย เรามีจุดหมายใกล้เคียงกัน แต่เรามอง ในเชิงการปฏิบัติที่เป็นจริง
.ถอดบทเรียน “เพื่อไทย” สู่ “ก้าวไกล”
พอเรามาอยู่กับการปฏิบัติที่เป็นจริง ทุกอย่างที่พรรคก้าวไกล ได้รับขณะนี้ เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทย เคยได้รับมาแล้วทั้งนั้น การยุบพรรคไป 2-3 ครั้ง การถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง บุคคลระดับบริหารของพรรคเพื่อไทย โดนหนักกว่านี้อีก สมัยไทยรักไทย โดน 111 คน เป็นแกนนำ ระดับสำคัญทั้งหมดเลยหายไป 5 ปี พรรคพลังประชาชน โดนอีกรอบ ประมาณ 96 คน มาเป็นครั้งที่ 3 ไปจัดการแบ่งพรรคไปสู้ เพื่อตอบสนอง กับรัฐธรรมนูญที่มันผิดเพี้ยนไป หายไปทั้งพรรคเลย กรรมการบริหาร ถูกตัดสิทธิ์ 10 ปี อย่างนี้เป็นต้น”
สิ่งเหล่านี้ เรารู้มาคือสภาพความเป็นจริง เวลาถูกยุบต้องตั้งพรรคใหม่มันเหนื่อยยาก และยิ่งกรรมการบริหาร ถูกตัดสิทธิ์ไป ทำให้การเริ่มต้น ใหม่ของมันช้าลงไปกว่าเดิมมาก ฉะนั้นสิ่งที่เราตระหนัก และการเรียนรู้ประสบการณ์ตรงนี้ มาจนถึงปัจจุบัน คือเราอยู่ใน ประเทศที่มีเงื่อนไข และข้อจำกัดเยอะ
ฉะนั้นจะทำอะไร เราคำนึงถึงระยะยาวว่า เราคงบทบาทของ พรรคการเมือง ที่สามารถตอบสนองปัญหาพี่น้อง ประชาชน และเดินไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแรงมากขึ้น สะสมกำลังที่จะทำให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น ในสังคมไทย มันต้องใช้เวลา ต้องไม่รีบร้อน อันนี้อาจขัดใจคนหนุ่ม คนสาว ที่รู้สึกอยากเห็นอะไรเร็ว ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่จะมอง แต่การตัดสินใคร หรือตัดสินพรรคการเมืองไหน มีเวลาดูกัน ยาว ๆ การปฏิบัติเยียวยา ดูผลที่เกิดขึ้นระยะยาว ขณะเดียวกันเรากำลังอยู่ในภาวะที่เป็นจริงอย่างหนึ่ง พูดไปแล้วหลายครั้ง
ประเด็นที่ 1 เราอยู่ ในภาวะที่อยู่ภายใต้อำนาจของคณะรัฐประหาร ที่ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 9-10 ปี อยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจ ซบเซา ดำดิ่งไปเรื่อย อยู่ในภาวะที่สังคม มีความขัดแย้งมาเกือบ 20 ปี ตั้งแต่สมัยปี 2549 คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ซึ่งอยู่ในใจประชาชน ได้รับเลือกมาถึง 377 ที่นั่ง ยังไม่เคยมีพรรคไหนทำสถิติได้ขนาดเรา ก็ถูกยุบพรรค ถูกตัดสิทธิ์ ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคม บานปลายมาถึงทุกวันนี้

.10เดือนรอไม่ได้ ความเชื่อมั่นหาย เศรษฐกิจยิ่งซับซ้อน
เราอยู่กับภาวะสังคมที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน อยากเรียนให้ประชาชนคนไทย ได้รับทราบว่า ในความเป็นจริงนี้เศรษฐกิจหนักหนาสาหัสมาก ไม่ว่าอยากเปลี่ยนเศรษฐกิจ หรือไม่อยากเปลี่ยนเศรษฐกิจก็ตาม เราอยู่ในภาวะแบบนี้มานาน
ฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่เห็นด้วย ในเรื่องที่จะขอให้เราอยู่ไปเรื่อย ๆ อีก 10 เดือน แล้วกลับมา ทั้งนี้ที่ไม่เห็นด้วยมี 2 เรื่อง คือ 1.ความเชื่อมั่นหายไป เศรษฐกิจยิ่งซับซ้อน และ
2.อยู่ท่ามกลางสังคมที่มีความขัดแย้ง ตรงนี้เป็นโอกาสคลี่คลายโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีส่วนหนึ่งใน ความขัดแย้ง ได้มีโอกาส ได้รับการยอมรับ ที่สามารถทำให้ความคลี่คลายตรงนี้ จากเรื่องที่เป็นปัญหา เป็น วิกฤต ถือเป็นโอกาสแก้ตรงนี้ได้ เป็นเรื่องที่ดี จึงถือว่าตอนนี้สังคมเป็นอย่างนี้ พรรคเพื่อไทยได้พิสูจน์ ทดลองให้พรรคก้าวไกล ได้ดำเนินการแล้ว
เราพิสูจน์ว่าจะทำอย่างสุดกำลัง ผมว่าสาธารณชนเห็นว่าการทำอย่างสุดกำลังของเรานั้นชัดเจน เป็นรูปธรรม เช่น การอภิปรายในสภาที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนการโหวตนายกฯ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยให้ 141 เสียงทั้งหมด ไม่เคยทวงบุญคุณ และไม่ต้องมาบอกว่าเป็นบุญคุณ หรือไม่บุญคุณ เพราะไม่เคยคิดเรื่องนี้ คิดแต่เพียงว่าสิ่งที่ทำนั้น ถูกต้อง สิ่งที่เขากำลังดำเนิน ถูกต้อง เราไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ตัวเอง ถ้าคิดถึงผลประโยชน์ตัวเอง เราไม่ควร ยกมือให้ ควรปล่อยให้เขาตายโดยเร็ว ล้มเหลวโดยเร็ว และเราจะได้ช่วงชิงขึ้นมาใหม่
ฉะนั้นเป็นพรรคอันดับ 2 ควรมีสิทธิที่จะทำ ไปร่วม ไปยกมือ มันเป็นการพิสูจน์ความเป็นจริงอย่างหนึ่ง ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าพรรคเพื่อไทย ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ ตัวเองเชื่อ และได้มีความพยายามสนับสนุนพรรคที่มีโอกาสอย่างสุดกำลังจริง ๆ เราเรียนให้ทราบ ตรงนี้ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เวลาน้อง ๆ ที่อยู่พรรคก้าวไกล มองเหมือนเป็นการ แข่งขัน ถ้าเป็นไปได้การเป็นมิตรกันไม่ควรมาพูดอะไร เพราะพรรคเพื่อไทย ก็ไม่เคยพูด หรือแม้แต่เป็นการไปออกรายการ เราตรงไปตรงมาที่สุดที่บอกว่าสนับสนุนเขา

.เปิดเบื้องหลังปมมาตรา112
แต่มีปัญหาเรื่องการแก้ไขม. 112 ตั้งแต่แรก ตอนเขาจะโยนมา เราก็ถามว่า มันจะลดได้ไหมเวลาไปเจรจา เขาบอกว่า เขาไม่เชื่อว่า ถ้าลดแล้วจะแก้ปัญหา ผมบอกว่าก็ลองพยายามไหม เพราะเขาตั้งปัญหานี้มา ถ้าเชื่อแบบนี้ก็ไม่มีทางออก เขาก็บอกว่าถ้างั้นฝาก เขาโยนมาให้เราแล้วฝากไปถามว่าทำไมม. 112 จะเป็นอย่างไร เราก็รับมา
พอเราทำด้วยความเปิดเผย ถูกด่าอีกเหมือนกับเราเซ็ตขึ้นมา ใครต่อใครบอก พรรคเพื่อไทยการละคร ที่พรรคเพื่อไทยทำด้วยความเปิดเผย ถ้าเป็นรูปแบบการเมืองแบบเดิม ๆ ก็ต้องไปเจออย่างลับ ๆ แล้ว แล้วเราก็มาสรุป ว่าไปเจอ 6 พรรคแล้ว เขาเป็นอย่างนี้ เอ๊ะพรรคเพื่อไทย คุยกับเขาจริงหรือเปล่า กลายเป็นว่าอาจทำอะไรขึ้นมาบนความเชื่อของเรา แล้วไปหลบเลี่ยงประเด็น เอาประโยชน์ เราเรียกมาคุย ชัดเจน ทุกคน 6 พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล อยู่ที่เขาว่าไม่ได้อยู่ว่าใครสำคัญกว่าใคร หรืออะไรพรรคไหนว่างเชิญเลยก่อนเลย
“ก่อนหน้านั้นก็ถามว่าให้เราทำแบบไหน เราไม่ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง เขาบอกว่าให้เราคุยว่า ถ้าเราจะได้เสียงจากสว. เพิ่มขึ้นไหม เพราะเขาบอกจะได้ 100 แต่ได้แค่ 13 เขาก็อยากดูว่าเรามีปัญญาคุยกับ สว.ได้ไหม เรารับปากจะคุยกับ สว.
อันที่ 2 บอกว่าให้แสวงหาความร่วมมือจากพรรคการเมืองภายใน เราถามว่าคุณทำไปได้แค่ไหน เขาบอกว่า เขาคงทำเท่าเราไม่ได้ เราก็รับมาจะคุยกับทุกพรรคการเมือง อันที่ 3 คือ 2 อันนี้ เขาบอกว่ารับเรื่องการแก้ไขม. 112 ไม่ได้ เขาถามเราว่าทำไม คุณธาดา ไชยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทยคุณวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นพูดถามว่าม.112 ยกเลิก เขาจะยกให้เลย
ถ้าเป็นผม วันนั้นถือโอกาสบอกว่า ผมยกเลิก แต่ว่าเขาบอกว่า มันเป็นข้ออ้าง มันเป็นความเชื่อของน้องเขา บอกไปอีก เขาคงเปลี่ยนเรื่อง ถ้ามองไปในแง่ร้ายแบบนี้ การแก้ปัญหามันก็ไม่เกิดเราเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะรับมาคุย และเขาบอกว่า ถ้า 2 นี้ไม่จบล่ะ มันมีทางอื่นอีกไหม ในที่สุดสรุปกันว่า อันที่ 3 นี้ยังทำไม่ได้ก็ให้เป็นสิทธิของพรรคเพื่อไทย ใช้วิจารณญาณตัดสินใจเลือกเลย ที่ประชุม 8 พรรค สรุป 3 แนวทางแบบนี้”
ฉะนั้นเวลาที่เรามาคุย เริ่มต้น 1. สร้างความ โปร่งใส 2.ให้เจ้าตัวพูดเองว่าเป็นอย่างไร แล้วถ้า ทั้งหมดไปไม่ ได้ เราถึงทำ ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็มาเริ่มต้นไม่ไปเอาพรรคอันดับแรก โดยพรรคภูมิใจไทย เราเรียกมาคุย เดิมเคยตกลงว่า 312 เสียง ถ้าพรรคภูมิใจไทยมา 71 เสียง ผ่านเลย ไม่ต้องพึ่งเสียง สว. นี่คือจุดประสงค์ที่ให้ความสำคัญกับพรรคภูมิใจไทย
พอคุยไป ๆ พรรคภูมิใจไทยบอกติดเรื่องม. 112 ไปกระทบสถาบันหลักของประเทศ ทั้งหมดทุกพรรค มีเพียงพรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเดียวที่บอกว่า ถ้ามีม. 112 ไม่รวม แต่ถ้ายกเลิกการแก้ไขม. 112 เข้าร่วมแน่นอน แต่พรรคอื่น ๆ บอกยกเลิกการแก้ไขม. 112 ก็ไม่ร่วม เพราะไม่ได้มองแค่ม. 112 แต่มองเรื่องความเชื่อ ทางการเมือง วัตรปฏิบัติทางการเมือง และแนวทางการเมือง ซึ่งไม่สอดคล้องกับเขา น้ำหนักแรงที่สุด น่าจะเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ชัดเจนที่สุดยังไงร่วมไม่ได้เลย เพราะเห็นต่างกันมาก นอกนั้นอยู่ในเงื่อนไขว่า มันต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ายกเลิกการแก้ไขม. 112 จริง ๆ
แล้วทุกคนก็ประกาศ ก่อนผมเรียก เขาประกาศต่อสาธารณะ ขณะที่เราทำเรื่อง พรรคการเมือง เราทำ สว. คู่ขนานกันไป

.ยืนยันไม่มี “เพื่อไทยการละคร“
ไม่ใช่ว่าเอาพรรคนี้มาก่อนมาตั้งเป้าสร้างฉากละครหรือเปล่า ไม่ใช่ เรามีเวลาไม่กี่วันเท่านั้น เวลาน้อย เราถึงคิดออกนอกกรอบเดิม หรือไม่งั้นต้องส่งเทียบไปเชิญ ขอไปเจอที่พรรค มีพิธีการ วันนี้เราเลยแก้ ปัญหาประเทศโดยเร็ว คุยกันเลย 2 วันจบ สส. ทุกพรรคการเมือง เราคุยหมดแล้ว ที่เราเอามาทั้ง 6 – 8 พรรค ชัดเจนว่าทั้งสภา เวลามาคุยไม่ได้เลือกว่า ต้องเป็นฝ่ายเดียวกับเราหรือไม่ เราเลือกทุกพรรคในสภา เพราะทุกพรรคการเมืองเป็นตัวแทนประชาชน ที่อาจมีความคิดทางการเมืองแตกต่าง หลากหลายกันไป แต่ยังไงก็เป็นตัวแทนประชาชน อันนี้ก็จบ
พอเรานัดหมายไปเจอ อันนี้อยากเคลียร์ จริง ๆ ที่ช้า ยังไม่ได้คุยสักที ไม่ใช่ช้าจากพรรคเพื่อไทย ช้าจากพรรคก้าวไกล เพราะเราจะสรุปกับพรรคก้าวไกลก่อนประชุม 8 พรรค เอ่อยังสรุปไม่ได้ตลอด เพราะมีการเลื่อน เขาบอกเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก เขาต้องคุยกับคนเขาเหมือนกัน เราก็ยอมรับว่าเรื่องนี้ ยากจริง ๆ จำเป็นต้องหาความเข้าใจร่วมกันของพรรค เราโอเค เขาต่อรองให้เรารอถึง 5 ทุ่ม เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ฉะนั้น เรียกประชุมก่อน เป็นไปไม่ได้ เรารอ 5 ทุ่ม ของวันที่ 31 ก.ค. ก็ไม่มีเสียงตอบรับมา รอถึง 23.45 น. ก็ไม่มี ผมก็ได้คุยกับคุณประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย คุยกับคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคเพื่อไทย บอกว่าคงไม่ต้องรอแล้ว เพราะจะเที่ยงคืนแล้ว ควรสรุปว่า เขาก็คงยุติแค่นี้ ออกไปพูดว่า เราไม่นั้นเลย เราเล่นเกม ไม่ใช่นะครับ ความเป็นจริงอย่างนี้ สิ่งที่ผมพูด – จริง – เท็จ 6 คน ในที่ประชุมร่วมกัน ตอบได้
ผมไปพูดไปเลย คือ 1. ไม่มีใครเห็น 2. ถ้าเป็นอย่างนี้เราร่วมด้วยไม่ได้ เพราะถ้าจับแบบเดิม ก็ 312 เสียง แล้วถ้าจะเอาแบบเดิม รอไปถึง 9 เดือน เราไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าเป็นปัญหา ฉะนั้นเราตัดสินใจว่าจะยกเลิกเอ็มโอยู แล้วให้ต่างคน ต่างเป็นอิสระ ด้วยความเคารพกัน ส่วนที่บอกว่าพรรคเพื่อไทย ไม่เคยพูดกับเขาเลยเรื่องม.112 เป็นความจริงเสี้ยวเดียว
พรรคเพื่อไทย แสดงจุดยืนชัดเจนไม่เอา 112 ตั้งแต่ต้นเอ็มโอยูที่ 1 ที่มีเรื่องเหล่านี้ แล้วเราให้เอาออก ถ้าให้เราลงนาม ทั้ง ๆ ที่ เอ็มโอยู ไม่ใช่ข้อบังคับ ตอนแรกยังมีการทำเหมือนกับเป็นเอ็มโอเอ เป็นข้อตกลงร่วม เราบอกคงไม่ใช่ เราไม่เคยทำกันแบบนี้ อยากให้เป็นเพียงความเข้าใจร่วมที่มีทิศทางร่วมกัน และจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เราก็ให้ตอนหลัง ก็ยัง เขียนมาแบบคลุมเครืออยู่ ก็บอกว่าถ้าเขียนคลุมเครือ
เราสงวนสิทธิ์ หมายความ ถ้าท่านตกลงกันไป แล้วท่านทำเรื่องนี้ เราสงวนว่าจะไม่ทำตามก็ได้ อันนี้ คือจุดยืนที่ชัดเจน บางเรื่องบางราว เราก็ผ่าน มีติงอยู่บ้าง แต่พอผ่าน มาครั้งที่ 2 ที่ เลือกประธานสภาฯ ก็ตกลงร่วมกัน วันนั้นก็เขียนเอ็มโอยูมาให้ลงนามใหม่ ประมาณ 4- 5 ข้อถ้าผมจำไม่ผิด ข้อสุดท้าย หรือข้อ 4 มีเรื่องม. 112 ด้วย เราคุยกันอยู่นานในที่สุดก็ยอม เพราะถ้าไม่เอาออก ไม่ลงนาม
.จุดยืนเพื่อไทยชัดเจนไม่มีเรื่องม.112
ในเอ็มโอยู 2 ครั้ง แกนนำพรรคก้าวไกลทราบดีว่า พรรคเพื่อไทย ไม่รับ 112 เพราะถ้ามีเอ็มโอยูจะไม่เกิด ล้มตั้งแต่แรกแล้ว จะมาว่าเราไม่เคยบอก แต่เราบอกชัดเจนมาตั้งแต่เริ่ม ส่วนเรื่องครั้งสุดท้าย ในที่ประชุมมีการถามแล้วว่าตกลงเขาไม่เอา 112 ถ้าเป็นเราวันนั้น เรารีบบอกเลยไม่ เราลดเพดานลงมาก็ทำงานกันได้ แต่เขาบอกว่ามันไม่จบหรอก เราถามว่าแล้วจะเอาอย่างไร เขาบอกให้ไปถาม เราก็รับไปถามให้
ฉะนั้นเราทำหน้าที่รับเรื่องราวทั้งหมดไปพูดคุย ซักถามมากกว่าเป็นแมสเซนเจอร์อย่างที่บางคนวิจารณ์ มีนักวิชาการบางคนว่าเราทำหน้าที่เป็นแมสเซนเจอร์ แต่เราไม่ใช่ เราถาม เราถกเถียง และข้อสรุปเป็นอย่างไร เมื่อมันไปไม่ได้จริง ๆ เราเสนอให้ยกเลิกเรื่องการแก้ไขม. 112
ถามว่าที่ทำมาทั้งหมดพรรคเพื่อไทยหักหลัง – ตระบัดสัตย์ – ยืนตรงข้ามกับมิตร ผมต้องเรียนถามพี่น้องประชาชนว่า สภาพการณ์เป็นแบบนี้ ถ้าท่านเป็นพรรคเพื่อไทย ท่านควรจะทำอย่างไร เห็นปัญหาวิกฤตขนาดนี้ เห็นความขัดแย้งที่เราอยากจะสลายด้วยกัน ให้ก้าวข้ามไปสู่ความสงบสุข แล้วการร่วมมือของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างนี้ เราจะทำอย่างไร
สิ่งที่เราพูดกับพรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นการตัดรอนแบบแยกฝ่ายเลย เราได้เรียน กับ 3 แกนนำพรรคก้าวไกลบอกว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ มันไม่มีโอกาสไปด้วยกันได้ การที่จะไม่ไปด้วยกันได้ ถือว่าเราไปเป็นคนละฝ่าย ท่านเป็นฝ่ายค้าน เราไปรัฐบาล แต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกับฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลในอดีต คือถ้ารัฐบาลเสนอ ค้านต้องค้าน ถ้าค้านเสนอรัฐบาลก็ไม่เอา

.เปิดมิติการเมืองแบบใหม่
แล้วบอกวันนี้เราเริ่มต้นมิติทางการเมืองแบบใหม่ เราเริ่มต้นในการสร้างศักราชทางการเมืองฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องเห็นค้านกันทุกเรื่อง เอาวาระประเทศ กับวาระประชาชน เป็นหลัก รัฐธรรมนูญ เป็น ทางออก ที่จะแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน เราจะเสนอวาระแรก ให้ ไปทำประชามติ ทั้งหมดพรรคก้าวไกลสนับสนุนก็ช่วยกันแก้ได้
ส่วนกฎหมายหลายฉบับที่พรรคก้าวไกลเขียน ผมได้ยินคุณพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ไปพูดว่า วิปริตไปหมดแล้ว นโยบายของเขาทั้งหมดถูกเอามาใช้ แล้วทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ แล้วระบบการเมืองไทยไม่วิปริต หรือ ผมอยากบอกคุณพรรณิการ์ ไม่วิปริตหรอก เพราะสิ่งที่เราทำเอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง หลายนโยบายที่พูดในนั้นมันสอดรับกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศ
ฉะนั้นการเอานโยบายที่เหมือนกันมา บอกว่าเราจะทำ ดีเสียอีกที่เราไม่ติดขัดว่าเป็นของใคร ๆ ถ้าจะพูดให้จริง ให้ตรง ต้องบอกว่า นโยบายสุราพื้นบ้าน นโยบายสมรสเท่าเทียม นโยบาย การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร นโยบายการปรับโครงสร้างสังคมต่าง ๆ ระบบราชการ ไปเปิดประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย ล้วนเป็นนโยบายของพรรคไทยรักไทยมาก่อนแล้วทั้งสิ้น แสดงว่าคิดมาก่อนแล้วตั้งแต่ ปี 2544 เพียงแต่ชื่อมันอาจผิดไป สุราพื้นบ้าน กับสุราก้าวหน้า แต่ความหมายอันเดียวกัน ที่สุราเกิดขึ้น ทำลายการผูกขาดของเศรษฐกิจ กลุ่มธุรกิจ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เราพูดมาแล้วทุกอย่าง
ถ้าบอกว่าเราไปเอาอันนี้มา ถ้าจะเถียงกันมุมนั้นก็ไม่ควรเถียง พอไปเปิดประวัติศาสตร์ดูจะรู้ สิ่งที่คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เคยพูดหลายครั้ง ไปเปิดสุนทรพจน์ของ นายกฯ ทักษิณ ปี 2544 ที่ พูดอยู่ในที่ประชุมสำนักนายก กับข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหมด เนื้อหาอันเดียวกันเป๊ะ เราไม่เคยท้วง ถือว่าอะไรที่เป็นสิ่งดี ใครทำก็ได้เหมือนกัน อยากเรียน ว่าอย่าคิดว่าเราอย่างนั้น อย่างนี้ อย่าคิดว่าเราไปลอกเลียนแบบ เราบอกว่าถ้าจะทำ การเมืองแบบใหม่ อะไรที่ดีมาช่วยกัน
.เป็นฝ่ายค้านอะไรที่ดีเสนอมาก็พร้อมสนับสนุน
“ผมยังพูดเลยไปอีกว่า อะไรที่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ท่านเสนอมา ถ้าดีต่อพี่น้อง ประชาชน และดีต่อประเทศ เราก็จะสนับสนุน เราจะไม่ใช่ รัฐบาลที่ไปขวางผลงานของฝ่ายค้าน ทุกเรื่องถ้าดีต่อประชาชน เราทำให้หมด ยกเว้นเรื่องเดียว ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันหลักชาติ ม. 112 เสนอมาอย่างไร เราไม่ผ่านอันเป็นจุดยืนของพรรคเพื่อไทย จะถูก จะผิด จะรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบ ไม่เป็นไร ก็ว่ากันไป วิจารณ์กันไป แต่เรามีจุดยืนอย่างนี้ เราเชื่อมั่นแบบนี้ และเราก็จะทำแบบนี้
วันนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาในอดีต จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างกันในแนวทางการ แก้ปัญหาประเทศ เราพูดได้ว่า พรรคเพื่อไทย เราเป็นพรรคที่ยืนหนึ่ง อยู่กับการเมืองที่เป็นจริง อยู่กับสภาพความเป็นจริง แต่การยอมรับว่าสภาพความเป็นจริงเป็นอย่างไรนั้น ไม่ใช่การยอมจำนน นั้นเป็นการหาทางออกจากความเป็นจริงที่เกิด จะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า
แต่ถ้าเราคิดแบบฝันว่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ พอมาเจอสิ่งที่เป็นจริง มันทำไม่ได้ ถ้าไม่เกิดความท้อแท้ ก็อาจจะเกิดความมึนงง ไม่รู้ว่าไปได้ยังไง ใช่ไหม สิ่งที่ดี ๆ แล้วอย่างที่คุณพรรณิการ์ว่า ในสิ่งดี ๆ และสังคมนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปกังวลใจ คับข้องใจ เข้าใจความเป็นจริง และช่วยกันหาทางออก อย่าเพิ่งท้อแท้ ผมคิดว่า มันจะแก้ได้ อันนี้คือสิ่งที่เกิดมาแล้ว
.หน้าที่เพื่อไทยตอนนี้พยายามจัดตั้งรัฐบาลให้ได้
ถามว่าพรรคเพื่อไทยจะทำอะไรได้ต่อไปหรือไม่อย่างไร ก็อยู่ที่สถานการณ์ ตอนนี้ยังยืนยันว่ายังเหมือนเดิม ประเทศต้องการความเชื่อมั่น ต้องการรัฐบาลที่ชัดเจน ที่มีอำนาจตัดสินใจ นักธุรกิจก็ดี กลุ่มทุนภายนอกก็ดี ต้องการความชัดเจนจากรัฐบาลที่มั่นคง ตอนนี้พรรคเพื่อไทยมีหน้าที่ต้องพยายามจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ เสนอตัว บุคคลที่เป็นนายกฯ ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีความสามารถที่จะแบกรับภารกิจ ที่มันยุ่งยากให้มันผ่าน ไปได้ และต้องฉวยโอกาสนี้
จากความขัดแย้งประมาณเกือบ 20 ปี หาทางคืนดี สร้างความปรองดองกันให้เกิดขึ้น โดยใช้ภารกิจประเทศ ภารกิจประชาชนเป็นหลัก เชื่อทุกคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี และเปลี่ยนแปลง แก้ไข ปัญหา พี่น้องประชาชน เรามีเป้าหมายเหมือนกัน และร่วมกันทำ จะทำให้ความคิดที่แตกแยก แตกต่างกัน มันจะ ลดทอน และบรรเทา เบาบางลง ผมเชื่อสังคมจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ภารกิจเราต้องตั้งรัฐบาลให้ได้
ถามว่าที่ผ่านมาตั้งรัฐบาลแล้วมีปัญหาไหม จับกลุ่มแบบนี้จะไปรอดหรือไม่ และไม่ตกลงแบ่งกระทรวง ทบวง กรม เลยเหรอ มันผิดวิสัย แล้วจะทำได้ ไหม ตรงนี้เป็นการมองภายใต้ระบบคิดแบบเดิม
ถ้าจะตกลงร่วมกันเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องบอกว่าใครได้กระทรวงไหน ถ้าไม่ได้กระทรวงไหน จะตกลงร่วมกันได้อย่างไร แต่วันนี้สิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิดเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ (Paradigm) คิดออกไปนอกกรอบ ถ้าติดตามประวัติศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จะเห็นว่าเราคิดนอกกรอบมาตลอด คิดนอกกรอบในเรื่องที่เหลือเชื่อ แล้วทำให้ สำเร็จมาแล้วหลายเรื่อง
ถ้าคิดเริ่มต้นจากผลประโยชน์ ในขณะที่ประเทศกำลังมีปัญหา มันคุยยาก ฉะนั้นการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พูดตลอดว่ายากลำบากมากกว่าทุกครั้งที่เราเคยจัดตั้งมา พรรคเพื่อไทยเดินแบบพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้ มันพิสูจน์แล้วไปไม่ได้

. “เศรษฐา ทวีสิน” ตอบโจทย์สถานการณ์ขณะนี้
เราไม่ได้บอกว่าจะไปข้ามฟากเอาส่วนที่เหลือทั้งหมด และทิ้งส่วนเก่าทั้งหมด ฉะนั้นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ได้เสนอคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ วันนี้เราไม่พูดเรื่องเป็นรัฐบาลร่วมกัน แต่พูดว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ท่านมีความเชื่อมั่นหรือไม่ว่าจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ และแก้ปัญหาได้พรรคเพื่อไทยมีบุคลากรที่มีคุณภาพมาตลอด และพิสูจน์ให้เห็นในการนำเลือกนายกฯ คนของเราขึ้นมาเป็นผู้นำทางการบริหารประเทศ ท่านไว้วางใจหรือไม่ ถ้าไว้วางใจท่านเลือกเรา
ฉะนั้นไม่ใช่การเลือกเพื่อที่จะมาเป็นรัฐบาลร่วมกัน แต่เป็นการเลือก ซึ่งฝ่ายค้านก็ดี ฝ่ายรัฐบาลก็ดี ฝ่ายรัฐบาลเฉดสีต่างๆ ก็ดี ถ้าเห็นพ้องว่านี้คือทางออกของประเทศก็เลือกได้ทั้งหมด ผมพูดกับก้าวไกล ก็พูดด้วยความสุภาพ ไม่ได้บีบบังคับ ที่ผมยกมือไปแล้ว 141 เสียง 3 ครั้ง คุณต้องตอบแทน แต่ผมบอกว่า ถ้าเป็นการเมืองมิติใหม่ ถ้าเห็นว่าสิ่งที่เราจะทำเป็น ประโยชน์ เราบอกว่า วาระสำคัญ เป็นวาระแห่งชาติ เป็นวาระของประชาชน ถ้าเห็นด้วยก็ยกให้เราได้ ถ้ายกให้ก็ขอบคุณ ดีใจ แต่ถ้าไม่ยกให้ก็ถือเป็นเอกสิทธิ์ เราเคารพ
ผมพูดตรงไปตรงมา คนพรรคก้าวไกลเป็นพยานได้ ผมยังพูดอีกว่า แม้กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 188 หรือพรรคอื่น ๆ ใน 8 พรรคนั้น ใครยินดียกมือให้ ยกเลย ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจเลือกนายกฯ ครั้งนี้ กับเลือกพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ ครั้งนี้ เป็นความเห็นพ้องร่วมกันทุกฝ่ายว่า สังคมมีปัญหา และต้องการคนมีประสบการณ์มาแก้
พรรคเพื่อไทย เสนอตัวบุคลากรโอเค พรรคเพื่อไทยเสนอคุณเศรษฐา ทวีสิน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ไปดึงมา เราได้ตรวจสอบคุณสมบัติ ความพร้อมหลาย เรื่อง เป็นนักบริหารมืออาชีพ เคยบริหารองค์กรขนาดใหญ่ประสบความสำเร็จ เป็นนักธุรกิจที่เรายังไม่เคย ได้ยินเรื่องเสื่อมเสีย
“ตอนนี้อยู่ในภาวะที่อยู่ในมีกังขาของสังคมเกี่ยวกับคุณเศรษฐา ทวีสิน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ขอกังขาของสังคม เป็นข้อกังขาของคนบางคน คุณเศรษฐาก็ถามผมว่าเป็นอย่างไร กระทบอะไรไหม ทำให้เสื่อมทรุดไหม ผมก็บอกว่าไม่หรอก เพราะพรรคมั่นใจเลือกคนเข้ามาเป็นคนที่ดีมีคุณสมบัติพร้อม ยิ่งมีคำถามยิ่งดี ให้ประชาชนตรวจสอบ เมื่อชี้แจงสิ้นสงสัย ประชาชนก็สบายใจมากขึ้น ยินดีให้ตรวจสอบ ขอให้อยู่ในกรอบ อย่าใช้ประเด็นที่เป็นเกมทางการเมืองมาแสดงละคร
ผมไปเห็นคลิปคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง ไปบอกคุณเศรษฐาก่อนหน้านี้ว่า กัญชาร่วมกันเป็นธุรกิจ เป็นคนที่ดีชูมือที่สยามเช็นเตอร์ แล้ววันนี้กลายเป็นนักธุรกิจที่แย่ไปแล้ว ก็ไม่แน่ใจสิ่งที่คุณชูวิทย์พูดเหมือนกัน ไม่เป็นอะไร ก็ตรวจสอบได้ตามกระบวนการ การตรวจสอบคุณสมบัติผู้นำไม่จำเป็นต้องตรวจสอบในสภา ประชาชนภายในมีสิทธิตรวจสอบได้
ผมว่าดีถ้าจบแล้วจะได้สิ้นสงสัย ยิ่งมีเวลาอีก 7 วันคุณชูวิทย์ใช้เวลาให้เต็มที่ พอถึงเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรียบร้อย การโหวตในรัฐสภาจะได้เคลียร์คัดชัดเจน”

.อยากได้รัฐบาลที่สมานฉันท์ทุกฝ่าย
วันนี้พรรคเพื่อไทยรออยู่อย่างเดียว จริง ๆ พร้อมประกาศความร่วมมือ และการตัดสินใจ ร่วมกันเป็นรัฐบาลของเรา ไม่ได้ต้องการแบบเดิม ๆ จับมือกัน 7 พรรค จบแล้ว ก็จบ วันนี้ อยากได้รัฐบาลที่สมานฉันท์ทุกฝ่าย
ฉะนั้นมาบอกว่าแล้วเราอยู่กระทรวงไหน ได้กี่ตำแหน่ง ในวิธีปฏิบัติสรุปไม่ได้ เพราะยังไม่ได้จบเท่านี้ ตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่า จบแค่นี้จริงหรือเปล่า จะมีเกิน 250 เสียง 260เสียง มี 8 พรรค 9 พรรค 10 พรรค หรือมีพรรคมากกว่านี้อีก จำนวนคนอาจเพิ่มเป็น 280 – 300 ก็ยังได้อีก ในระบบสภาผู้แทนราษฎร มี สส.อยู่เกิน 280-300 มีเสถียรภาพมั่นคง ความเชื่อมั่นเกิด การแก้ปัญหาในอนาคตมีความหมาย สามารถทำงานได้เต็มที่
เวลายืดออกไปในการโหวตนายกฯ ไม่มีปัญหา เวลายิ่งยืดออกไปยิ่งมีเวลาทำงาน ทำความเข้าใจกับเพื่อนมิตร ทุกวันนี้เดินพูดคุยกับ สส. สว.อยู่ ถ้าเข้าใจเราก็ได้บอกแล้วว่า เราส่งสารถึงเพื่อนมิตรพรรคการเมืองทั้งหมดในสภาร่วมกัน วันนี้เราเสนอตัวบุคลากร ที่ชัดเจนมีคุณสมบัติเหมาะสม ถ้าท่านไว้ใจท่านเลือกเราแล้วไปเป็นฝ่ายค้านก็ได้ เป็นการทำการเมืองมิติใหม่
ส่วนวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมาถามว่าได้นัดคุยกับตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ หรือไม่ ความจริงได้นัด แต่ยังไม่จบแค่นี้ มีบางพรรคติดต่อมาขอมาคุย หลายพรรคถ้าเปิดเผยไปจะบอกว่าเป็นไปได้เหรอ ผมบอกว่าเป็นไปได้ แต่ยังไม่มีพันธะ ไม่ได้ต่อรองอะไรทั้งสิ้น ก็บอกว่ายินดีท่านก็โหวตสนับสนุนเท่านั้นเอง
เดี๋ยวถึงเวลาค่อยมาคุยกันว่า มีอะไรเป็นแนวทางร่วมกัน พอรับกันได้ก็รับ เราไม่มีเรื่องอาฆาตแค้นส่วนตัว ถ้าเป็นเรื่องประเทศชาติพากันแก้ปัญหาได้ก็ยินดี วันนี้ก่อนโหวตเลือกนายกฯ อาจมีการนัดทานข้าวกันระหว่างคนที่ทำได้ เราก็บอกว่าทุกคนต้องช่วยกัน ใครสามารถดึงใครมาก็เป็นภารกิจร่วมกัน
.ประเทศต้องมีทางออกร่วมกัน
ไม่ได้เป็นภารกิจของพรรคเพื่อไทย เป็นภารกิจของพรรคที่เห็นว่าประเทศต้องมีทางออก ต้องร่วมกันคิด ต้องร่วมกันทำ เราทำงานต้อง เร่งรีบ เวลามีน้อย ยิ่งได้มากยิ่งดี เร็ว ๆ นี้คงได้เห็นว่าเรามีการเปิดตัวจะเห็นว่าหลังเปิดตัวนายกฯ เรียบร้อยแล้ว ก็ยังเข้ามาได้อีก เพราะไม่ได้คิดว่ามาน้อย แล้วเราจะได้ตำแหน่งเยอะ ไม่ได้สนใจ เราได้ตำแหน่งน้อยแล้วถ้ามาเยอะขึ้น งานการเมืองในอนาคตก็สะดวกมากขึ้น คลี่คลายมากขึ้น มีเสถียรภาพมากขึ้น
กำลังบอกว่ารัฐบาลเพื่อไทยเป็นแกนนำ เป็นเป็นรัฐบาลที่พิเศษมากเข้าไปบริหารประเทศ มันพิเศษครับ เพราะอยู่ในสถานการณ์พิเศษ สถานการณ์ที่ปัญหาประเทศรุนแรง หนักหน่วง วิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติของประเทศมันหนักหน่วง ความขัดแย้งในสังคมมันมากมาย
แล้วก็เราอยู่ภายใต้กติการัฐธรรมนูญที่มันยากลำบากมาก ต้องได้ความเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ เราถึงฝ่าวิกฤติตรงนี้ไปได้ ถ้ายังไม่มีความเป็นเอกฉันท์ ไม่มีเอกภาพทางความคิดของพวกเรา มันยากที่จะฝ่าไปได้
วันนี้ที่เราต้องคิดว่าจะฝ่าไปเนี่ย แก้ไขรัฐธรรมนูญเคยระบุไปแล้ว วาระแรกของ ครม. จะผ่านเพื่อให้ไปทำประชามติ ตั้ง สสร. ยกร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาจะทำประเด็นนี้ให้เร็วที่สุด พรรคที่เป็นฝ่ายค้านช่วยก็ยินดี เพราะเป็นวาระของประเทศ
ถามมี 3 เรื่องใหญ่ แก้รัฐธรรมนูญยกร่างใหม่ – ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ฟื้นฟูประเทศ – และก้าวข้ามความขัดแย้งสู่สันติ รัฐบาลเพื่อไทยมั่นใจเอาอยู่ ไม่มีปัญหา พรรคเพื่อไทยมีบุคลากรทุกด้านมากเพียงพอ ที่สำคัญกว่านั้น ระบบคิดของเราไม่ได้คิดว่าเป็นเจ้าของประเทศเพียงคนเดียว ไม่ได้ใช้บุคลากรของพรรคเพื่อไทยอย่างเดียว จะร่วมมือร่วมไม้กับบุคลากรนอกพรรค ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นนักวิชาการ ที่เห็นประเทศมีปัญหาแล้วอยากปลดล็อกออกมา
เชื่อว่าวิธีการทำงานกับระบบวิธีคิดที่เปิดกว้าง รับฟังทุกคน พร้อมระดมทุกคนเข้ามา ได้รับชัยชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็ใช้ศักยภาพความสามารถฝ่าไปให้ได้ 3 ภารกิจหลักจริง ๆ มันผูกกัน ถ้าสร้างรัฐธรรมนูญได้ มีแนวโน้มออกมาดี ความเชื่อมั่นภายใน และภายนอกก็เกิด การลงทุนก็เกิดตามมา การแก้วิกฤติเศรษฐกิจขอประเทศก็ดี

.ปัญหาคลี่คลายประเทศกลับสู่ภาวะปกติ
“ทางการเมืองเกิดความเชื่อมั่น ทางเศรษฐกิจเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ความขัดแย้งย่อมคลี่คลายลง โดยมีวิธีการระดมร่วมมือกับทุกฝ่ายได้ ปัญหาประเทศย่อมคลี่คลายได้ แล้วประเทศก็เดินกลับสู่ภาวะปกติ นี้คือวาระ3เรื่องหลักที่รัฐบาลเพื่อไทยจะเดินหน้า เรื่องอื่น ๆ ก็ทำไปคู่ขนาน ทั้งวัคซีนฉีดมดลูก ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค การเกณฑ์ทหาร ไม่เกณฑ์ทหาร ให้เป็นระบบสมัครใจ”
ถามถึงพรรค 2 ลุง คือ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติโหวตนายกฯ ให้พรรคเพื่อไทย ชี้แจงต่อสังคมอย่างไร วันนี้ผมไม่รังเกียจเลย ก็ดีที่คะแนนโหวตของพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย ไม่รังเกียจเลย เป็นนิมิตหมายที่ดี แม้แต่ความคิดเห็นทางการเมืองอาจแตกต่างกันบ้าง แต่การจัดตั้งรัฐบาล เห็นปัญหาชาติร่วมกัน ก็ร่วมกันโหวตนายกฯ
เป็นเรื่องที่น่าดีใจ เป็นเรื่องที่บอกอนาคตว่าจะแก้ปัญหาของประเทศได้ง่ายขึ้น ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องมาดูภารกิจเป็นเรื่องหลักว่าภารกิจของชาติต้องการอะไร และใครมาร่วมรัฐบาลได้บ้าง มีนโยบายที่สอดรับกันไหม มีบุคลากรที่ใช่ ก็สามารถร่วมกันได้
ถามว่าทุกเสียงที่โหวตของพรรคการันตีเข้าร่วมรัฐบาลในอนาคตอย่างไร ไม่การันตี เพราะการร่วมรัฐบาต้องพูดคุยกันอีก อย่างน้อยเป็นบันไดขั้นแรก ประตูบานแรกที่เปิดมาว่า แนวโน้มเขาสนับสนุนเห็นพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำได้ ถ้าชัดเจนแล้วสามารถร่วมกันได้ มีเหตุผลอธิบายต่อสังคมได้ ร่วมกันได้หมดเลยครับ โดยเอาวาระประเทศ เอาวาระประชาชนเป็นหลัก

.วิกฤตศรัทธา ผลที่ออกมาจะพิสูจน์การกระทำ
ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า รับประกันเอาอะไร ไม่รับประกันเอาอะไร พูดถึงหลักคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี ร่วมกันหาทางออกประเทศ และต้องให้สังคม ประชาชนเห็น นอกจากวิกฤตตามที่กล่าวไปแล้ว ยังมีวิกฤตความเชื่อ วิกฤตศรัทธาที่ประชาชนไม่ค่อยมั่นใจนักการเมือง ประชาชนเชื่อกับวัตรปฏิบัติมานาน ก็ต้องตรงไปตรงมาแชร์ให้สังคมได้เห็น เพื่อไทยตรงไปตรงมาตลอด แต่ว่าหลัง ๆ การพูดคุยให้กาลเวลาคลี่คลาย แล้วออกมาเอง
ทุกอย่างที่ตัดสินใจทำไปมีฐานความคิดยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ฉะนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องยอมรับมัน ถึงเวลาผลที่ออกมาจะพิสูจน์การกระทำของตัวเราเอง เหมือนที่หลายคนบอก เราพูดประชาชนจะฟัง เมื่อเราลงมือทำประชาชนจะเชื่อ ฉะนั้นวันนี้เราพูดฟังเชื่อ ไม่เชื่อก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง รอให้เป็นรัฐบาล และทำงานดูผลงานของเราแล้วจะเชื่อไม่เชื่อ ตรงนั้นสำคัญที่สุดที่เราอยากได้
มีปัญหา หรืออุปสรรคอะไรบ้าง ที่ทำให้เพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ต้องยอมรับว่าการจัดรัฐบาลที่ผ่านมาของประเทศมันก็ไม่ได้ง่าย แต่มันไม่ได้มีปัจจัยที่วิกฤตซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่รวมเสียงข้างมากได้ก็จัดตั้งรัฐบาลได้ วันนี้พิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่า แม้เป็นเสียงข้างมากก็ไม่แน่ใจว่าจะผ่านได้ เพราะมีกลไกตามรัฐธรรมนูญและกลไกอีกหลาย ๆ อย่าง
เรารับรู้ความยากลำบากนี้ แต่ไม่กังวลใจ เพราะรู้ว่าในความเป็นจริงทางการเมืองขณะนี้เป็นอย่างนี้ ถ้างอมือ งอเท้าก็ดำรงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ วิกฤติกาลของประเทศไม่ได้รับการคลี่คลาย วันนี้พยายามฝ่าวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ทั้งการดึงดัน ต่อสู้ พูดคุย ซักชวน การแสดงความเห็นและความจำเป็น
หวังว่าทุกฝ่าย รวมถึงความขัดแย้งในปัจจุบันของทุกฝ่าย น่าจะใช้โอกาสนี้ ความขุ่นข้องหมองใจ ความรังเกียจรังงอนก็มีได้ มีแต่ความร่วมมือความสามัคคีถึงเป็นทางออกของประเทศ ดังนั้นร่วมมือกันดีกว่าครับ ประเทศถึงมีทางออก
ถามว่าเป็นรัฐบาลชุดพิเศษจริงๆ รัฐบาลพิเศษจริงๆ พูดคุยกันหมดแล้ว จะเริ่มจากคุยกับทุกพรรคมาถึงวันนี้ก็ยังมีพรรคที่เพิ่มขึ้นเลย