เปิดเส้นทางทางการเมืองอันโดดเด่นของ “ชินโซ อาเบะ” อดีตผู้นำญี่ปุ่นที่เพิ่งก้าวลงจากต่ำแหน่งสดๆ ร้อนๆ กับปัญหาสุขภาพ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ว่าในที่สุด ผู้นำญี่ปุ่น “ชินโซ อาเบะ” วัย 65 ปี ได้ประกาศลาออกจากต่ำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นหนึ่งในนักการเมืองทรงอิทธิพลและได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างมากที่สุดคนหนึ่งจากชาวญี่ปุ่น

เขาเกิดวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2497 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 90 ของญี่ปุ่น บนถนนเส้นทางทางการเมืองของเขา ภายหลังจากการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซเค ในกรุงโตเกียว เมื่อปี 2520 เขาได้มีโอกาสไปศึกษาต่อในเวลาระยะสั้นเป็นเวลา 3 ภาคการศึกษา เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

เมื่อเขาเดินทางกลับมายังญี่ปุ่นในปี 2522 เขาเข้าทำงานที่บริษัทโกเบ สตีล แต่ไม่นานนักได้ลาออกเมื่อปี 2525 เพื่อเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างเต็มตัว โดยสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) 

จากนั้นเขาไต่เต้าจากการทำงานหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสมียนในกระทรวงการต่างประเทศ และเลขาธิการส่วนตัวของหัวหน้าพรรคแอลดีพี จนกระทั่งเขาได้รับความสนับสนุนจากพรรคแอลดีพี ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2536 โดยลงสมัครในจังหวัดยามางุชิ และชนะการเลือกตั้ง 

จากนั้น “อาเบะ.​ก้าวสู่การดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระหว่างปี 2543 ถึง 2546 ในสมัย “โยชิโร โมริ” และ “อิจิโร โคอิซุมิ” สองอดีตนายกรัฐมนตรี จากนั้นเขาได้รับความไว้วางใจจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ให้ดำรงในตำแหน่งเลขาธิการพรรค

ในสมัยร่วมทีมกับรัฐบาลโคอิซุมินั้น เขาได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะเจรจากับทางการเกาหลีเหนือ ในประเด็นชาวญี่ปุ่นซึ่งถูกลักพาตัวไปในเกาหลีเหนือ และเคยติดตามอดีตนายก “โคอิซุมิ” ไปเยือนเกาหลีเหนือ เมื่อปี 2545 และได้พบกับ “คิม จอง-อิล” ผู้นำสูงสุดในตอนนั้นด้วย

ในเดือนเม.ย. 2549 “โคอิซุมิ” ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคแอลดีพี ในที่สุด “อาเบะ” ชนะการหยั่งเสียงภายในพรรค ผงาดขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเป็นสมัยแรก ในเดือนก.ค.ปีเดียวกัน เขาได้สาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะมีอายุ 52 ปี ถือเป็นผู้นำรัฐบาลอายุน้อยที่สุด นับตั้งแต่เจ้าชาย “ฟุมิมาโระ โคโนเอะ” ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2483 ในวัย 49 ปี

อย่างไรก็ตามเขาได้ประกาศลาออก “อย่างกะทันหัน” เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2550 โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับความไม่พอใจของประชาชนต่อกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย ที่รวมถึงการส่งทหารญี่ปุ่นไปร่วมประจำการในอัฟกานิสถาน แต่แหล่งข่าวหลายกระแสระบุตรงกันว่า “เป็นเรื่องสุขภาพ” ซึ่งต่อมาอาเบะยอมเปิดเผยว่า กำลังรักษาตัวจากโรคลำไส้อักเสบ

ภายหลังจากการเว้นวรรคทางการเมืองเพื่อไปรักษาตัว เขากลับมาอีกครั้งด้วยการชนะการเลือกตั้งที่จังหวัดยามางุชิเช่นเดิม เมื่อปี 2552 แล้วได้รับการเลือกตั้งให้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแอลดีพีเมื่อเดือนก.ย. 2555 และควบตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งภายในพรรคแอลดีพี และสถานการณ์ของรัฐบาลในเวลานั้นภายใต้การบริหารของพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (ดีเจพี )

ต่อมาในวันที่ 16 พ.ย. 2555 นายกรัฐมนตรี “โยชิฮิโกะ โนดะ” ลาออกจากตำแหน่งและจัดการเลือกตั้งใหม่ในเดือนธ.ค.ปีเดียวกัน ซึ่งพรรคแอลดีพีและพันธมิตรร่วมกันคว้าชัยชนะ อีกทั้งยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงสนับสนุนที่มากกว่า 2 ใน 3 จากทั้งหมด 480 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร บริหารประเทศเรื่อยมาจนพรรคแอลดีพีเข้าสู่การเป็นรัฐบาลสมัยที่ 4 ติดต่อกัน และสร้างประวัติศาสตร์ให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด โดยการสร้างประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำลายสถิติ 2,798 วัน ของ

“เอซากุ ซาโตะ” ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2507 ถึง 2515 ซึ่งเขามีศักดิ์เป็นเหลนของ “ซาโตะ” ด้วย

ทว่าในวันเดียวกับที่มีการทำลายสถิติและสร้างประวัติศาสตร์ดังกล่าว คือวันที่เขาได้เดินทางไปพบแพทย์ ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเคโอ ในกรุงโตเกียว เป็นครั้งที่ 2 ภายในระยะห่างกันเพียงสัปดาห์เดียว ก่อนประกาศลาออกเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2563 หลังจากเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคลำไส้ใหญ่บวมและเป็นแผลมานานหลายปี