เตรียมรถให้พร้อมเมษานี้ได้เหยียบมิดไมล์ หลังคมนาคมเร่งผลักดันกฎหมายให้ขับรถเร็วสูงสุดได้ 120กม./ชม.



นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการผลักดันนโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วสูงสุดของรถยนต์บนถนนทางหลวงให้สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม.ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยกรมทางหลวง (ทล.)กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เร่งรัดดำเนินการให้ร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วยานพาหนะ สามารถประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในต้นเดือนเม.ย64 นี้

นายศักดิ์สยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคมได้พยายามผลักดันนโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วสูงสุดของรถยนต์บนถนนทางหลวง โดยพิจารณาจากความปลอดภัยเป็นสำคัญ ซึ่งต้องพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพ และสภาพการใช้พื้นที่ตลอดจนการอยู่อาศัย ซึ่งพบว่าสามารถปรับเพิ่มความเร็วสูงสุดของรถยนต์ส่วนบุคคลขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 90 กม./ชม. เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ทั้งนี้ เฉพาะพื้นที่ที่มีความปลอดภัยทางกายภาพ ซึ่งจะต้องเป็นถนนที่มีมาตรฐานสูงขนาด 4 ช่องจราจรขึ้นไป ไม่มีจุดตัดหรือจุดกลับรถเสมอระดับถนน มีการแบ่งทิศทางจราจรอย่างชัดเจน และมีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้น (Barrier Median) โดยกำหนดความเร็วขั้นต่ำสำหรับช่องจราจรขวาสุดไว้ไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม. เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุชนท้ายกันในช่องทางที่รถวิ่งด้วยความเร็ว พร้อมทำการปักป้ายกำกับความเร็วตลอดแนวเส้นทางโดยวิศวกรของหน่วยงานที่รับผิดชอบเช่น ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. ในเขตชุมชนหรือเขตโรงเรียน ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ในบริเวณทางโค้ง ทางแยก หรือทางกลับรถ ป้ายจำกัดความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. บริเวณทางตรงซึ่งสามารถทำความเร็วได้ แต่ต้องไม่เกินตามที่ป้ายกำหนด

โดยผู้ขับขี่ต้องปฎิบัติตามกฎจราจรและขับขี่ด้วยความเร็วตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุบนท้องถนนตลอดการเดินทาง
สำหรับรถประเภทอื่นๆ ได้มีการพิจารณาปรับกำหนดความเร็วขึ้นตามความเหมาะสมทั้งรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คนสามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม. ส่วนรถในขณะลากจูงรถอื่น รถสี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กม./ชม. รถจักรยานยนต์ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ส่วนรถจักรยานยนต์กำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ หรือกระบอกลูกสูบรวม 400 CC ขึ้นไป ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กม./ชม. รถโรงเรียนใช้ความเร็วไม่เกิน80 กม./ชม. และรถโดยสารเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.

นายศักดิ์สยามฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังได้มีข้อสั่งการโดยกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดที่ปรากฎในร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วยานพาหนะฯ ใช้ความเร็วสูงสุดได้ 120 กม./ชม. ให้มีความชัดเจนเข้าใจง่าย ตั้งแต่ในระยะแรกรวมทั้ง อยากให้ช่วยกันรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนที่ใช้รถ ใช้ถนน ปฏิบัติตามกฎจราจรการควบคุมความเร็วที่กฎหมายกำหนด สังเกตป้ายเตือนความเร็วต่าง ๆ ที่ได้กำหนดความเร็วไว้ในช่องทางเดินรถ ที่เหมาะสมแต่ละช่องถนน จะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเองและผู้อื่นได้อีกด้วย

ด้านนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) กล่าวว่า กรมทางหลวงพร้อมนำร่องให้ประชาชนสามารถขับรถในความเร็วไม่เกิน 120 กม/ชม. ที่ถนนทางหลวงสาย32 สายเอเชีย ข่วงต่างแยกต่างระดับบางปะอิน-อ่างทอง ระยะทาง 50 กม. หากมีการประกาศในราชกิจจา และระบุชัดว่ามีผลบังคับภายในกี่วันทางหลวงพร้อมทันที ส่วนเส้นทางที่จะมาใช้ต่อไปคือทางหลวง 32 เส้นทางอ่างทอง-ชัยนาท กม.50-113 และเส้นทาง ชัยนาท-นครสวรรค์ กม 115-150 นอกจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงได้สั่งการเพิ่มเติมว่าให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทไปสำรวจเส้นทางเพิ่มเติมที่จะใช้นโยบายความเร็วไม่เหิน 120 กม/ชั่วโมงได้ เส้นทางครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น