เจอพิษสงครามการค้าเล่นงาน “เอเซียพลัส” ปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยปี 2562

  • ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,612 จุด จากเดิมที่คาดการณ์คาดไว้ที่ 1,655 จุด
  • ผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ ฉุดกำไร “บจ.” ลดลง
  • ชี้เชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยปี 63 ยังมีมุมมองเชิงบวก กลับมาทะยานแตะ 1,675 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (บล.เอเซียพลัส) กล่าวว่า บล.เอเซียพลัส ได้ปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปี 2562 ที่ระดับ 1,612 จุด จากเดิมที่คาดการณ์ระดับ 1,655 จุด พร้อมปรับลดประมาณการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2562 ลง 36,900 ล้านบาท มาอยู่ที่ 963,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาด 990,000 ล้านบาท หลังกำไรสุทธิ บริษัทจดทะเบียน (บจ.)  ไตรมาส 3/2562 อยู่ที่ 2.12 แสนล้านบาท ลดลง 17.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ ซึ่งมองว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 มาแล้ว และไตรมาส 4 จะเป็นช่วงจุดสูงสุดของหลายธุรกิจ อีกทั้งประเทศไทยอาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต) ประเทศ ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงน่าสนใจ และมีโอกาสเห็นเงินทุนโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมองว่ายังเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับตลาดต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า และจะสามารถคลี่คลายได้อย่างเร็วที่สุด คือ ช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วงเดือน พ.ย. 2563 ซึ่งมีแนวโน้มจะเห็นการย้ายฐานผลิตเข้ามา ในไทยมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โลจิสติกส์ สาธารณูปโภค คลังสินค้า เป็นต้น

ขณะที่ ตลาดหุ้นไทย ปี 2563 ยังมีมุมมองเชิงบวก ตั้งเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปี 2563 ที่ระดับ 1,579 – 1,675 จุด หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล  ส่วนกรณีที่ ครม. ออกมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการ “บ้านดีมีดาวน์”มองว่า ส่งผลบวกกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก เพราะภาครัฐช่วยสนับสนุนเงินดาวน์ ถึง 5 หมื่นบาทต่อราย ถือว่าค่อนข้างสูง ช่วยระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยในตลาดได้ค่อนข้างกว้างถึงระดับประมาณ 5.5 ล้านบาท และเชื่อว่าผลประกอบการของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ในไตรมาส 1 ปี 2563 จะดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีนี้ ส่วนแนวโน้มในระยะยาวคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจต่อไป

สำหรับช่วง 6 สัปดาห์ที่เหลือของปีนี้ มองว่า กลุ่มที่น่าลงทุน ได้แก่  กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มโลจิสติกส์ ซึ่งกลุ่มที่ต้องระวัง คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่กดดันจากงานโครงการภาครัฐที่ยังมีความล่าช้า