อานิสงส์โควิด-19 ทำของเถื่อนหายวับ



  • เหตุแรงซื้อนักท่องเที่ยวต่างชาติหดหาย
  • หลังรัฐใช้มาตรการล็อกดาวน์ปิดน่านฟ้าห้ามบิน
  • พาณิชย์ดีอีเอส เดินหน้าล้างบางละเมิดบนเน็ต

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ส่งผลให้การขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาลดลงมกกว่า 50% โดยเฉพาะละเมิดเครื่องหมายการค้า ที่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์เนมดังๆ จากต่างประเทศ อย่างเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด นาฬิกา แว่นตา เป็นต้น และวางขายในย่านการค้า และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ  ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น ถนนสุขุมวิท พัฒน์พงศ์ สีลม พัทยา หาดป่าตอง ฯลฯ เพราะย่านการค้า และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ซบเซา ภายหลังรัฐบาลมีมาตรการล็อกดาวน์ และปิดน่านฟ้าทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงมาก แต่หวังว่า เมื่อโควิด-19 คลี่คลาย ผู้ค้าเหล่านี้ จะกลับมาค้าขายสินค้าอื่นๆ แทนสินค้าละเมิด”  

นอกจากนี้ การที่มีศูนย์ประสานงานเพื่อปราบปรามการละเมิด (IPEC) ตามน่ายการค้าต่างๆ เช่น มาบุญครอง ตลาดนัดจตุจักร ฯลฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สินค้าละเมิดลดลงด้วย เพราะศูนย์นี้ จะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เช่น กรมทรัพย์สินทางปัญญา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตัวแทนเจ้าของสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา มาทำงานร่วมกัน เพื่อตรวจสอบ ป้องกัน และปราบปรามการละเมิดในพื้นที่ต่างๆ จนนำมาซึ่งการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ค้าสินค้าละเมิดได้จำนวนมาก 

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 9 ..นี้ กรม ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดพิธีทำลายของกลาง ที่เป็นสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ที่คดีถึงที่สุดแล้ว โดยในครั้งนี้ จะทำลายของกลางรวมทั้งสิ้นกว่า 700,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าหลายล้านบาท  

นายทศพล กล่าวต่อถึงการละเมิดบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตว่า ในเร็วๆ นี้ กรมจะลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยูร่วมกับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ต่างๆ เช่น Shopee, Lazada เป็นต้น เพื่อให้ตรวจสอบ ไม่ให้มีการขายสินค้าละเมิดบนแพลตฟอร์ม รวมถึงแนวทางการดำเนินการหากพบการขายสินค้าละเมิดขึ้น 

นอกจากนี้ ยังประสานความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอสดำเนินการ กับเว็บไซต์ และURL ที่มีเนื้อหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เช่น เว็บที่ละเมิดภาพยนตร์ และเพลงจากต่างประเทศ และศาลได้สั่งให้ปิดกั้น หรือเอาเนื้อหาละเมิดออก แต่เว็บไซต์ และ URL ยังไม่ได้ดำเนินการตามศาลสั่ง หรืออาจปิดเว็บไซต์ตามศาลสั่งแล้ว แต่กลับไปเปิดเว็บใหม่ ที่มีเนื้อหาละเมิดเช่นเดิม ซึ่งจากนี้ไป จะใช้กฎหมายของดีอีเอส ติดตามว่าผู้ละเมิดทำตามศาลสั่งแล้วหรือไม่ จากเดิมที่ไม่มีระบบการตรวจติดตาม และหากปิดเว็บละเมิดแล้ว แต่ได้เปิดเว็บใหม่ ที่มีเนื้อหาละเมิดอีก ก็จะใช้คำสั่งศาลที่ได้สั่งให้ปิดเว็บเก่าไปแล้ว มาบังคับปิดเว็บที่เปิดใหม่ได้เลย โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องใหม่ ซึ่งจะทำให้การปราบปรามเว็บละเมิดรวดเร็วมากขึ้น