“อาคม” สั่งแบงก์รัฐเติมเงินทุนผู้ประกอบการยางพารา เสริมแกร่งลุยแข่งขันในตลาดโลก



  • เน้นเติมทุนในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจยางพารา
  • เผยปัจจุบันอุตสาหกรรมยางพาราสร้างรายได้เข้าประเทศ 7 แสนล้านบาทต่อปี
  • ด้าน EXIM BANK พร้อมเติมทุนไม่จำกัดวงเงิน อัตราดอกเบี้ยอัตรา 6-7% ต่อปี

วันนี้ (20 ม.ค.66) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เป็นประธานในพิธีลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) โครงการยกระดับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพารา โดยมีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) บรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (สภาหอฯ) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมลงนาม

นายอาคม กล่าวว่า นอกจากแบงก์รัฐ ซึ่งประกอบด้วย EXIM BANK และ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะเข้ามาเติมทุนให้แก่ผู้ประกอบการดังกล่าวแล้ว ทางกระทรวงการคลังยังดึงธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทย เข้ามาร่วมเติมทุนในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจยางพาราด้วยโดยในส่วนของ ธ.ก.ส.นั้น จะต้องเข้ามาช่วยส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มคุณภาพของยางพาราให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

ทั้งนี้ ปัจจุบันอุตสาหกรรมยางพาราสร้างรายได้เข้าประเทศราว 700,000 ล้านบาทต่อปี โดยขณะนี้ในด้านการต่อยอดคุณภาพการผลิตเพื่อการส่งออกนั้น ยังมีปัญหาเรื่องของสภาพคล่องของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ จากปัญหาในจุดนี้ในส่วนของแบงก์รัฐจึงต้องเข้ามาช่วยสนับสนุนโดยเฉพาะในห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิต ซึ่งจะช่วยทำให้ยางพารามีคุณภาพและราคาดี

“วันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นการบูรณาการความร่วมมือของผู้ประกอบการกับทาง EXIM BANK และบสย. ซึ่งในระยะต่อไปกระทรวงการคลังเองก็จะขอให้ ธ.ก.ส.และ ธนาคารกรุงไทย เข้ามาช่วยเติมทุนในธุรกิจห่วงโซ่อุปทานของยางพาราอีกด้วย” นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวด้วยว่า โครงการดังกล่าว นับเป็นการสานพลังครั้งสำคัญระหว่างสถาบันการเงินของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังกับภาคอุตสาหกรรมไทยเพื่อแก้ปัญหาและยกระดับการพัฒนาสินค้าเกษตร ได้แก่ยางพารา นำโดยสภาหอฯ และ สรท. กยท. และนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก เพื่อนำร่องยกระดับการพัฒนาเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้ายางพารา ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศ

ทั้งในมิติของการสร้างงาน เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีเกษตรกรและผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องมากถึง 1.7 ล้านครัวเรือนหรือกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ และในมิติของการสร้างรายได้เข้าประเทศ จากการส่งออกยางพาราแปรรูปขั้นต้นและการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ยางพาราในระดับปลายน้ำรวมเป็นมูลค่าส่งออกสูงถึงกว่าปีละ 6.8 แสนล้านบาท โดยไทยนับเป็นผู้ส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์รายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก 

อีกทั้งอุตสาหกรรมยางพารา โดยเฉพาะการผลิตในระดับต้นน้ำก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศจำนวนมหาศาลเนื่องจากมีการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ (Local Content) สูงถึงกว่า 90% ซึ่งกล่าวได้ว่า ยางพาราเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยสร้างและกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของยางพารา และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง อันจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินและขยายธุรกรรมในอุตสาหกรรมให้ขยายตัว และมีส่วนสนับสนุนการเติบโตและการปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวของภาคการผลิตและส่งออกยางพาราของประเทศไทยต่อไป โดยเฉพาะSMEs ที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น ได้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการก็เริ่มปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวหรือขยายธุรกิจเชื่อมโยงกับ Supply Chain ของโลกได้ รวมถึงให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการอย่างครบวงจรท่ามกลางโอกาสและความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของโลกและประเทศไทย

“ความร่วมมือในภาครัฐบาลคู่ขนานกับภาคเอกชนในครั้งนี้ จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในมิติต่างๆ ทั้งการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โอกาสทางธุรกิจ และเงินทุนของผู้ประกอบการทั้งระดับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นคนตัวเล็กในโลกธุรกิจ โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจฐานรากและต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้โครงการความร่วมมือดังกล่าว จะเริ่มต้นนำร่องกับนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จังหวัดระยอง” นายอาคม กล่าว

ด้านนายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ธนาคารพร้อมเติมทุนให้ผู้ประกอบการยางพาราโดยไม่จำกัดวงเงิน โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับรายใหญ่ รายกลางและรายเล็ก จะอยู่ในอัตรา 6-7% ต่อปีจากปัจจุบันอยู่ที่ 12-18% ต่อปี