“อาคม” สั่งสรรพากรปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพิ่มขีดความสามารถการค้าออนไลน์ สร้างความเป็นธรรมในระบบ



  • เตรียมกู้ชดเชยขาดดุลกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้
  • หากจัดเก็บภาษีไม่ตามเป้ายันเงินไม่ได้ช็อต

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยหลังตรวจเยี่ยมกรมสรรพากร ว่า ได้มอบนโยบายให้กรมสรรพากรดำเนินการ 3 เรื่องได้แก่ 1.การขยายฐานภาษี ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยในส่วนบุคคลธรรมดาที่ผู้อยู่ในระบบฐานภาษี  9 ล้านคน ในจำนวนนี้อยู่ในเกณฑ์เสียภาษี 3 ล้านคน ส่วนอีก 6 ล้านคน ไม่เข้าเกณฑ์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนคนที่อยู่นอกระบบอีกหลายล้านคนจะต้องเร่งนำกลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาสู่ระบบฐานภาษี เพื่อสร้างความเป็นธรรมทั้งระบบ

2.การเพิ่มประสิทธิการจัดเก็บภาษี โดยกรมสรรพากรจะต้องพัฒนาการใช้บริการให้เข้าใจง่าย และ3.การปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อรองรับหลังประเทศฟื้นตัวจากโควิด-19 ซึ่งต้องร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งกรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซ หรือ การค้าขายสินค้าบนออนไลน์  อีเซอร์วิส หรือ บริการบนโลกออนไลน์ เช่น ระบบการสมัครสมาชิก เป็นต้น 

“ส่วนกรณีที่มีการคาดการณ์ว่าในปีงบประมาณ 2564 การจัดเก็บรายได้ในส่วนของภาษีจะต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้นั้น กระทรวงการคลังได้เตรียมวางแผนการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลในกรณีที่รายจ่ายสูงกว่ารายได้ไว้แล้ว เนื่องจากรัฐบาลยังต้องใช้เม็ดเงินเพื่อดูแลภาคการเกษตรเช่น ยางพารา ข้าว เป็นต้นอีกมาก ส่วนจะมีการกู้ชดเชยหรือไม่นั้น จะต้องรอดูสถานการณ์การจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายในช่วง มิ.ย.-ก.ค. 2564 ก่อน แต่ขอยืนยันว่าเงินไม่ได้ช็อตแน่นอน ส่วนรายได้การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรปีงบ 2564 ยังยึดตามเป้าเดิมที่ 2.0853 ล้านล้านบาท ”

ส่วนมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งเราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน และจ่ายเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท ระยะเวลา 3 เดือน จะทำให้เศรษฐกิจหดตัวน้อยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ปีนี้จะติดลบ 7.7% ซึ่งสอดคล้องกับหน่วยงานอื่น เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยติดลบ 7.1% จากเดิมคาดติดลบ 7.7% รวมถึงสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบน้อยลงกว่าที่คาด

สำหรับที่กรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ทุกกระทรวงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม กระทรวงการคลังยังคงเน้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในการลงทุนนั้น ล่าสุดคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้อนุมัติให้รมว.คลัง เป็นประธานคณะกรรมการการเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวลงสู่ระบบในไตรมาส 1-2 ของปีงบประมาณ 2564 ให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีให้ได้ตามเป้าหมาย