“อาคม” ฟันธงเศรษฐกิจไทย ฟื้นตัวเต็มที่ปี 67



  • เผยหลายฝ่ายกังวล4ประเด็นราคาน้ำมันแพงอาหารแพงโควิดดอกเบี้ยขาขึ้น
  • เชื่อทั่วโลกต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่มาตรการดูแลโควิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี 2565 และในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 44 ของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัญ กรุงเทพฯ โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตโควิด-19” ว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แม้จะมีอาการไม่รุนแรงมากนัก แต่แพร่กระจายเร็วมากนั้น ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าจะมีกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 

ดังนั้นทุกคนต้องระมัดระวัง ดูแลตัวเอง ปฎิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เมื่อทุกคนร่วมมือกัน เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวและเติบโตถึง 4% ตามที่มีการคาคการณ์ไว้ และตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว

สำหรับเรื่องที่หลายฝ่ายมีความกังวล 4 ประเด็นหลัก คือ 1.ภาวะราคาน้ำมันแพง ซึ่งเป็นผลจากความตรึงเครียดระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง แต่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จะอยู่ที่ 90-100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งน้ำมันถือเป็นต้นทุนหลักของการขนส่งและมีผลต่อธุรกิจอื่นๆด้วยโดยกระทรวงการคลัง ได้ปรับลดภาษีสรรพสามิต ขณะที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงสามารถบริหารจัดการได้ แต่ทั้งนี้ต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแยังระหว่างยูเครนกับรัสเซียอย่างใกล้ชิด

2.ราคาสินค้าหมวดอาหารที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นนั้น ภาครัฐ ได้เข้าไปควบคุมดูแลแล้ว เชื่อว่าราคาสินค้าหมวดอาหารจะปรับลดลง และจะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศสูงขึ้น โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ตรงจุดถูกต้อง เชื่อว่าราคาจะลดลงอย่างแน่นอน 

3.การแพร่ระบาดโควิด ซึ่งทุกประเทศก็กังวล ว่าจะมีผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับประเทศไทย  ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ทั้งในต่างจังหวัด ค้าชายแดน ดังนั้นทุกคนต้องดูแลตัวเอง ปฎิบัตตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ระมัดระวังตัวเอง เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไป ไม่สะดุด เพราะทุกประเทศ ต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับวิกฤตโควิด

และ 4.ดอกเบี้ย ที่หลายฝ่ายกังวลว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ​ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แล้ว อัตราดอกเบี้ยในไทยก็จะปรับขึ้นตามไปด้วยนั้น นายอาคม กล่าวว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยในไทย ขึ้นอยู่กับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท)​ ซึ่งผู้ว่าการธปท.เคยประกาศว่า การจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ต้องรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่่างเต็มที่  ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่นั้น ต้องใช้เวลา 2 ปี หรือจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2567 ฉะนั้นเมื่อเศรษฐกิจเพิ่งจะเริ่มจะฟื้นตัว การคงอัตราดอกเบี้ย น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ทั้งนี้ต้องรอฟังความชัดเจนจากธปท.อีกครั้ง

ทั้งนี้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตนั้น ต้องใช้นโยบายคู่ขนานระหว่างนโยบายการเงินการคลัง โดยในส่วนของกระทรวงการคลัง ก็ต้องบริหารรายรับและรายจ่ายให้สมดุลกัน เมื่อรายได้ ยังไม่สมดุลกับรายจ่าย ก็ต้องกู้เงิน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็กู้เงินมาแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท และใช้เงินกู้เพื่อเยียวยาดูแลประชาชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้เหลือวงเงินราว 100,000 ล้านบาท ส่วนการบริหารหนี้สาธารณะ เชื่อว่าสิ้นปีงบประมาณปี65 จะอยู่ที่62%ภายใต้เศรษฐกิจเติบโต 4% อย่างไรก็ตามไม่อยากให้กังวลเรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะ เพราะหลายประเทศยอดหนี้สาธารณะสูง เนื่องจากทุกประเทศมีความจำเป็นในการใช้จ่าย ใช้เงิน เพื่อเยียวยา ฟื้นฟู เศรษฐกิจและสังคม จากวิกฤตโควิด-19