

- ทยอยกู้เงินตามความจำเป็นไม่ได้กู้มาในคราวเดียว
- หนี้สาธารณะอยู่ที่ 58.56% ไม่เกินเพดาน
- ชี้ถ้าเศรษฐกิจเติบโตตัวเลขหนี้สาธารณะก็จะดีขึ้น
วันที่ 25 พ.ค.2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า พระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 โดยบังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ทั้งนี้เรียกว่าเป็นพ.ร.ก.กู้เงิน ฉบับที่ 2 กรอบวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการลงนามในสัญญาเงินกู้ หรือออกตราสารหนี้ภายในวันที่ 30 ก.ย.65 โดยพ.ร.ก.ฉบับนี้ ออกมาเพื่อเตรียมการการแพร่ระบาดระลอกใหม่ จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1.5% จากคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2564 ขยายตัว 1.5-2.5%
“ปีที่แล้วสภาพัฒน์คาดว่าเศรษฐกิจจะติดลบ 8% เมื่อมีมาตรการเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ติดลบน้อยลง เหลือ 6% ดังนั้น ในปีนี้ประมาณการเศรษฐกิจขยายตัวเป็นบวก โดยคำนวณจากคาดการณ์ 1.5-2.5% ก็จะทำให้โตเพิ่มอีก 1.5% ดีขึ้นกว่าคาดการณ์”
ส่วนการกู้เงินนั้นจะทยอยกู้ตามความจำเป็น ไม่ได้กู้มาในคราวเดียว ซึ่งสำนักงานบริการหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้ดำเนินการกู้เงินอย่างระมัดระวัง ดูตลาดเงิน ตลาดตราสารหนี้ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม และประมาณการว่าหนี้สาธารณะ ยังอยู่ในกรอบที่ 58.56% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ซึ่งถ้าเศรษฐกิจเติบโตตัวเลขหนี้สาธารณะก็จะดีขึ้น
สำหรับ พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 500,000 ล้านบาทนั้น กำหนดการใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ 3 แผนงาน ได้แก่ 1.เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 30,000 ล้านบาท 2.เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 300,000 ล้านบาท และ3.เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 170,000 ล้านบาท
“หากมีความจำเป็นสามารถปรับแผนงานการใช้จ่ายได้ โดยพ.ร.ก.ฉบับนี้จะเข้าไปเสริมตามแผนงานพ.ร.ก.ฉบับที่ 1 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเน้นเข้าไปดูแลในบางเรื่อง เช่น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอี ผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กรายน้อย เป็นต้น”