อาการน่าห่วง…สมาคมผู้ค้าปลีกชี้ดัชนีค้าปลีกไตรมาสแรก “น่ากังวล” พบลดลงต่อเนื่อง 3 เดือน



  • ชี้ผู้บริโภคชะลอจับจ่ายวอนรัฐบาลใหม่ยกเครื่องมาตรการชุบกำลังซื้อ
  • แนะเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้กลุ่มฐานรากเพิ่มการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
  • เผยภาพรวมการค้าปลีกมีการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันกำลังซื้อยังเปราะบางโดยเฉพาะกลุ่มฐานราก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 เม..66) สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำไตรมาส 1 ปี 2566 พบว่า ลดลง 13.5 จุดแม้จะมีปัจจัยบวกหลากหลาย อาทิ วันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ตรุษจีน มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ “ช้อปดีมีคืน” รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถส่งแรงหนุนได้มากพอ เนื่องจากกำลังซื้อฐานรากที่อ่อนแอชัดเจนต้นทุนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูงค่าสาธารณูปโภค 

ขณะที่ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนจากนี้ (เม..-มิ..) ทรงตัว สะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของธุรกิจต้องใช้เวลานานขึ้น รวมทั้งค่าแรงและค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับกําลังซื้อที่ยังซบเซา

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI (QoQ) ไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 มีความ “น่ากังวล” เนื่องจากปรับลดลงถึง 13.5 จุด ในขณะที่ดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth) QoQ , ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ต่างพากันปรับตัวลดลง สะท้อนถึงผู้บริโภคฐานราก กำลังซื้อยังอ่อนแออยู่มาก รวมทั้งภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโดยสาร ส่งผลให้ผู้บริโภคมุ่งเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็นอีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคลดกิจกรรมนอกบ้านเพิ่มขึ้น ด้วยความกังวลฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้นและโรคฮีทสโตรกหรือโรคลมแดดจากอากาศที่ร้อนจัด

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีตามภูมิภาคพบว่า ความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมทรงตัวทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคอีสานที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกถึงธุรกิจยังคงฟื้นตัวไม่สมดุล เห็นได้ว่าพื้นที่ท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าพื้นที่อื่น ทางด้านธุรกิจห้างสรรพสินค้าแฟชั่นสุขภาพและความงาม มีการฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ตร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง มีการชะลอตัว และร้านค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงไม่ฟื้นตัว

ทางสมาคมฯ จึงมีความเห็นว่าหลังการเลือกตั้ง ควรรีบจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อเร่งกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านการสร้างงาน การจ้างงาน และลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งต้องมีมาตรการหลากหลาย มุ่งเป้าให้ตรงกลุ่มต่างๆ ไม่ซ้ำซ้อน เน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายในขณะที่ผู้บริโภคระดับบน ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อ ต้องใช้มาตรการต่างชุดกัน โดยเน้นย้ำว่ารัฐต้องคลอดมาตรการที่ต่อเนื่อง และระยะยาวจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ ประเมินการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก ของผู้ประกอบการที่สำรวจ 3 ช่วง ระหว่างวันที่ 17 .. – 26 มี.. 2566 ดังนี้

การประเมิน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ต่อการปรับราคาสินค้า

ผู้ประกอบการ 79% ระบุว่า ที่ผ่านมาธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนการดำเนินการที่เพิ่มขึ้น แต่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ราคาสินค้าได้บางส่วนเท่านั้น

21% ส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดเข้าสู่ราคาสินค้าแล้ว

40% ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้าไม่เกิน 10%

 31% ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้า 10-20%

 7% ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้า 21-30%

แนวโน้มในการปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดรับกับราคาสินค้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า 

24% ไม่ปรับราคาเพิ่ม

43% ปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5 %

26% ปรับเพิ่มขึ้น 6-10%

7% ปรับเพิ่มขึ้น 11-20%

ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับราคาสินค้า

อันดับ 1  ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น

อันดับ 2 ส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทั้งหมด

อันดับ 3 ราคาสินค้า / บริการอื่นที่ไม่ใช่ต้นทุนปรับสูงขึ้น

อันดับ 4 คู่แข่งปรับขึ้นราคา

อันดับ 5 รักษากำไร

อันดับ 6 อุปสงค์ดีขึ้น

นอกจากนี้ผู้ประกอบการได้มีประเมิน โครงการ “ช้อปดีมีคืน” (ระหว่าง 1 .. – 16 ..66) มีผลดังนี้

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ประเมินว่า โครงการ “ช้อปดีมีคืน” จะช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้น

43% ยอดขายเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้น

50% ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10%

7% ยอดขายเพิ่มขึ้น 10% -20%

โดยสรุปภาพรวมการค้าปลีกไทย มีการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน (K-Shaped Recovery) กำลังซื้อโดยรวมยังเปราะบางโดยเฉพาะกลุ่มฐานรากที่อ่อนแอ ปัญหาค่าแรงแพง และแรงงานขาดแคลน นับเป็นปัญหาหลักของภาคค้าปลีกและบริการ รัฐบาลใหม่จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้ของกลุ่มฐานราก และเพิ่มการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายและท่องเที่ยวภายในประเทศ ด้วยการร่วมมือกับทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เพื่อผลักดันภาพรวมของค้าปลีกไทยกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง” นายฉัตรชัย กล่าว