

วันนี้(1 เมษายน 2564) ที่ โรงแรมรามาการ์เด้นท์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีบันทึกความร่วมมือ “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์ มั่นใจด้วยมาตรฐาน” โดย กรมอนามัย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานภาคีอีก 12 องค์กรใน 10 เมืองไมซ์ซิตี้
ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการจัดงานกลุ่มการจัดประชุมและนิทรรศการ การเดินทางและการท่องเที่ยวในเมืองอย่างปลอดภัย ด้วยมาตรฐานด้านสุขอนามัยในสถานประกอบการและกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย
โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานระบบบริการและสถานประกอบการต่าง ๆ ใน 10 เมืองไมซ์ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น เชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี อุดรธานี และเมืองพัทยา
นายอนุทิน กล่าวว่า ตนมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นสักขีพยานในการบันทึกความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนโครงการ “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์ มั่นใจด้วยมาตรฐาน” เพื่อจุดประกายให้ประเทศไทยของเรากลับมาสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด ขณะนี้รัฐบาลไทยจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อประชาชนคนไทยทุกคนแล้ว ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคได้ดีมากกว่า 70% แต่สิ่งที่สำคัญคือ 30%
หลังที่เรายังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ เพื่อการป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม
ประเทศไทยไม่เคยตั้งเป้าว่าจะต้องมีการติดเชื้อเป็นศูนย์ เพราะตราบใดที่ยังมีการเดินทาง มีการพบปะกัน ย่อมมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ แต่เราจะต้องมอบความปลอดภัยให้ประชากรทุกคนในประเทศมากที่สุด ซึ่งในเดือน มิ.ย. จะมีวัคซีนล็อตใหญ่ทยอยออกมาฉีดตามแผนเดือนละ 5-10 ล้านโดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มหมู่(Herd Immunity)ให้ประชากรภายในสิ้นปี 2564
“การจัดงานไมซ์ในวันนี้ จะทำให้คนเริ่มเห็นตัวอย่างของการจัดกิจกรรมที่ปลอดภัย มีมาตรฐานอย่างมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักท่องเที่ยว นักลงทุนในต่างประเทศที่มีความเชื่อมั่นและต้องการเดินทางเข้ามาลงทุน สร้างรายได้ให้ประเทศไทย รวมถึงสร้างงาน สร้างรายได้ในคนในประเทศ ป้องกันการลักลอบออกไปทำงานผิดกฎหมายในต่างประเทศ ลดความเสี่ยงที่จะนำเชื้อกลับเข้ามาด้วย
ดังนั้น เราตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมประชากรมากที่สุด เร็วที่สุด เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด ดังนั้น การเปิดเมืองปลอดภัยเราก็จะต้องทำให้ได้ก่อนประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เพื่อให้เกิดการสร้างเศรษฐกิจ ให้ความตื่นตระหนกทั้งหลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า ขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจในระบบสาธารณสุขของไทยว่าพร้อมรับมือในทุกสถานการณ์ การกระจายวัคซีนเป็นไปแผนที่วางไว้ อย่างเช่นในจังหวัดท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต ขณะนี้ส่งไปแล้ว 5 หมื่นโดสและจะส่งไปเพิ่มเติมอีก 5 หมื่นโดส อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี อีก 5 หมื่นโดส ซึ่งทำให้รัฐบาลมีความมั่นใจและมีมาตรการผ่อนคลายในหลายพื้นที่ พร้อมทั้งวางแนวทางลดจำนวนวันกักตัวของนักท่องเที่ยวกรณีที่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือตรวจเชื้อก่อนเข้าประเทศ ส่วนการรับวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัวถือเป็นเป้าหมายสำคัญ
แต่ต้องมีการศึกษาเรื่องภูมิคุ้มกันผลตอบสนองต่อวัคซีนก่อนว่าเป็นอย่างไร ฉีดครบ 2 โดสแล้วใช้เวลานานเท่าใดภูมิคุ้มกันจึงจะสูงจนปลอดภัยต่อการติดเชื้อ ถ้าปลอดภัยก็ไม่ต้องกักตัว โดยจะเริ่มในคนไทยที่มีภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ กลับมาไม่ต้องกักตัว ส่วนชาวต่างชาติอาจต้องรอเรื่องวัคซีนพาสปอร์ตที่จะต้องตกลงกันระหว่างประเทศ
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากผลการประเมินตนเองของสถานประกอบกิจการของแพลตฟอร์ม Thai Stop COVID Plus พบว่า สถานประกอบกิจการที่ผ่านการประเมินสูงสุด ได้แก่ ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม ร้อยละ 100 โรงแรม ร้อยละ 99.1 และห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 97.8 ตามลำดับ ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการให้ความร่วมมือจากสถานประกอบกิจการ
ทั้งนี้ กรมอนามัยขอความร่วมมือสถานประกอบการ กิจการประเภทต่าง ๆ เข้าร่วมประเมินตนเองเพิ่มมากขึ้น สำหรับประชาชนและผู้ที่เข้าร่วมในสถานที่ประชุม สถานที่ท่องเที่ยว หรือสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ขอให้ปฏิบัติตนตามมาตรการของ สธ. อย่างเคร่งครัดด้วยการ สแกนแอพพลิเคชั่นไทยชนะ เว้นระยะระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น สวมหน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและหมั่นสังเกตตนเอง หากพบว่ามีไข้ ไอ จาม จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้งดทำกิจกรรมและไปพบแพทย์