“อนุทิน” ชี้กฎหมายปลดล็อกกัญชา อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หลายฝ่ายยังสับสน วอน ตร.เข้าใจประชาชน



  • ยกตัวอย่างปมจับกัญชา 1 ต้น ลั่น สธ.ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
  • เผยปรึกษานักกฎหมาย ยันประมวลยาเสพติด เขียนชัด ไม่เป็นยาเสพติดประเภม 5 แล้ว
  • ขอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุณาช่วยสร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

วันนี้ (25 มี.ค.65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวชาวบ้านถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม พร้อมแจ้งข้อหาครอบครองยาเสพติดให้โทษ เป็นต้นกัญชาเพียง 1 ต้น ที่ปลูกไว้เพื่อรักษาตัวว่า ทางกระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้หารือกับเจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปตรงกันว่า หลังจากที่ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ปลดล็อกทุกส่วนของกัญชากัญชง เว้นสารสกัดที่มีค่า THC มากกว่า 0.2% โดยน้ำหนัก ให้พ้นจากความเป็นยาเสพติด เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ในการรักษาตั้งแต่ระดับครัวเรือน โดยจะมีผลบังคับใช้อีก 120 วัน คือ 8 มิ.ย.65 

นอกจากนี้ จากการหารือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายชี้ว่า กัญชาไม่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 แม้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขปี 2563 ใช้บังคับแต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งมีศักดิ์สูงกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว กฎกระทรวงฯ พ.ศ.2563 ซึ่งมีมาก่อน จึงใช้บังคับไม่ได้

“เราเข้าใจดีว่า ในช่วงรอยต่อระหว่างกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ ความสับสนทั้งจากผู้บังคับใช้กฎหมาย และประชาชนอาจเกิดขึ้นได้ เพื่อประโยชน์แก่พี่น้องประชาชน และให้สมแก่เจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงจะได้เสนอให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กรุณาช่วยสร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ถึงความละเอียดอ่อนในช่วงเวลานี้เพื่อไม่ให้มีการจับกุมชาวบ้านที่จะถูกมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งรังแกประชาชนได้” นายอนุทิน กล่าว

ทั้งนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีการจับกุมไปแล้ว ทาง ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยได้แสดงความจำนงว่าจะไปใช้ตำแหน่ง ส.ส. ประกันให้ทุกราย และจัดหาทนายความให้ ยกเว้นรายใหญ่ที่อาจมีเจตนาฝ่าฝืน อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้ก่อนถึงวันที่ 8 มิ.ย. 65 ที่ประกาศกระทรวงฯ ปลดล็อกทุกส่วนของกัญชา กัญชง จะมีผลบังคับใช้ ขอให้ทุกฝ่ายได้กรุณาใช้ความระมัดระวังรอบคอบ และคำนึงถึงความละเอียดอ่อนในการปฏิบัติงาน ในส่วนของกระทรวงสาธาณสุขก็จะพยายามสร้างความเข้าใจให้มากขึ้นในวงกว้าง ร่วมมือกัน เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน