อดีตผู้ว่าธปท.-นักวิชาการ​ ค้าน​”แจกเงินดิจิทัล”ชี้ได้ไม่คุ้มเสีย!



นักวิชาการ 99 คน พร้อม​ 2 อดีตผู้ว่า ธปท. “วิรไท-ธาริษา” ออกแถลงการณ์ค้านแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท​ เหตุได้ไม่คุ้มเสีย แม้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ แต่กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัด

  • ค้านแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท​
  • เหตุได้ไม่คุ้มเสีย
  • แม้ประชาชนเห็นด้วยกับนโยบาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิรไท สันติประภพ และนางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลงชื่อร่วมกับอดีตคณบดีและคณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวม 99 คน อาทิ​ ดร.ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย, รศ.ดร.อัจนา ไวความดี อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย, รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์, ดร.บัณฑิต นิจถาวร อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย, รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์​ เป็นต้น​

ในแถลงการณ์คัดค้านและเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก “นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท” เพราะได้ไม่คุ้มเสีย​โดยระบุว่า​

1.เศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัวสำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทย จะขยายตัว 2.8% ในปีนี้และ 3.5% ในปี 67 จึงไม่จำเป็นที่รัฐต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ผ่านมา มีการบริโภคส่วนบุคคลเป็นตัวจักรสำคัญ จึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นการบริโภคส่วนบุคคล แต่ควรเน้นการใช้จ่ายภาครัฐในการสร้างศักยภาพ ในการลงทุนและการส่งออกมากกว่าอีกทั้งการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศยังอาจเป็นปัจจัยให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นอีก และอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด

2.งบประมาณของรัฐที่มีจำกัดย่อมมีค่าเสียโอกาสเสมอ โดยเงินมากถึง 560,000 ล้านบาท ทำให้รัฐเสียโอกาสที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บริหารจัดการน้ำ เป็นต้น

เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งล้วนสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาวแทนการใช้เงินกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นที่ไม่สมเหตุสมผลต่อการสร้างหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป ค่าเสียโอกาสสำคัญคือ การใช้เงินสร้างงาน เพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชน

3.การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (จีดีพี) ขยายตัว โดยรัฐแจกเงิน 560,000 ล้านบาท เข้าไปในระบบเป็นการคาดหวังที่เกินจริง เพราะปัจจุบันนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal mutiplier) ที่เกิดจากการ ใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอน หรือการแจกเงินมีค่าต่ำกว่า 1 และต่ำกว่าตัวทวีคูณทางการคลัง สำหรับการใช้จ่ายโดยตรงและการลงทุนของรัฐ การที่ผู้กำหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเลื่อนลอย ไม่มีใครเสกเงินได้ ไม่มีเงินที่งอกจากต้นไม้ ไม่มีเงินที่ลอยมาจากฟ้า สุดท้ายประชาชนจะต้องจ่ายคืนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าแพงขึ้นเพราะเงินเฟ้อจากการเพิ่มปริมาณเงิน

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวถึงผลสำรวจทัศนะต่อนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทว่า ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ทั้งในเรื่องการเริ่มใช้เดือน ก.พ.67 การใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ไม่ได้ และระยะเวลาการใช้ 6 เดือน แต่สิ่งที่ไม่เห็นด้วย คือ การใช้เงินในรัศมี 4 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า 76.4% จะใช้เงินในนโยบายดิจิทัลซื้อของใช้ในครัวเรือนอาหารเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือและ 15.6% ไม่ใช้ และ 8% ไม่แน่ใจ

นอกจากนี้ ยังได้สำรวจผู้ประกอบการ พบว่า ร้านค้า 66.2% ไม่แน่ใจที่จะเข้าร่วมและไม่เข้าร่วม เพราะกังวลเรื่องภาษียังไม่รู้หลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการ และคิดว่าจะได้รับเงินช้ากว่าการขายปกติ อีก 33.8% จะเข้าร่วม เพราะทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้น

ส่วนเมื่อถามนโยบายเงินดิจิทัล จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่หรือไม่ ส่วนใหญ่ 48.3% คิดว่ากระตุ้นได้มาก อีก 35.6% กระตุ้นได้ปานกลาง มีเพียง 0.7% ที่คิดว่ากระตุ้นได้น้อยมาก

ส่วนนายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การนำงบประมาณ 560,000 ล้านบาท มากระตุ้นเศรษฐกิจ คาดจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.14-3.3% และไม่เกิดการรั่วไหลของเม็ดเงิน แต่ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการแจกเงินด้วย และนำงบประมาณ บางส่วนใช้แก้ปัญหาน้ำและลงทุนต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ส่วนแหล่งที่มาของงบที่จะใช้ เชื่อว่ารัฐบาลจะกู้เงิน จากธนาคารของรัฐเพื่อไม่ให้กระทบต่องบประมาณ ซึ่งปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 61% ต่อจีดีพี และยังไม่เกินเพดานที่ 70% ดังนั้น รัฐบาลต้องมีวินัยการเงิน การคลัง และต้องระวังความเสี่ยง.