องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค จับตา! มหาดไทยลักไก่ นำรถไฟฟ้าสีเขียว เข้า ครม. อังคารนี้



  • ถามประชาชนยังลำบากไม่พอหรือถึงซ้ำเติมขึ้นราคาสายสีเขียวล่วงหน้า
  • คนกรุงเทพจ่อรับกรรมรับภาระไปอีก 30 ปี
  • พร้อมเสนอราคาปัจจุบัน 44 บาทตลอดสาย หลังหมดสัญญาสัมปทานเหลือ 25 บาท

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับแจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันอังคารที่ 1 มิ.ย.นี้ กระทรวงมหาดไทยจะมีการเสนอต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยกรุงเทพมหานครยังยืนยันใช้ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสีเขียว 65 บาทตลอดสาย ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินไปทำให้ประชาชนส่วนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนนี้ได้ 

ขณะเดียวกันเรื่องนี้ยังได้รับการคัดค้านจากทั้งจากคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร สภาองค์กรของผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป เนื่องจากปัญหาการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวล่วงหน้าของกรุงเทพมหานคร ขาดความโปร่งใส ปกปิดข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจ และไม่มีการรับฟังความเห็นของทุกภาคส่วนในการดำเนินการ ทำให้กำหนดอัตราค่าโดยสารราคาสูงสุดที่ 65 บาท ซึ่งไม่อยู่บนข้อเท็จจริงต้นทุนและสูงมากถึง 39.25 %ของรายได้ขั้นต่ำต่อวันของประชาชน และปล่อยปละละเลยให้ภาคเอกชนทวงหนี้ 30,000 ล้านบาท ต่อสาธารณะที่เข้าข่ายทวงหนี้ผิดกฎหมาย

ดังนั้นทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงขอคัดค้านคณะรัฐมนตรีที่จะนำสัญญาสัมปทานล่วงหน้าสายสีเขียวเข้ารับการพิจารณาในวันอังคารหน้านี้ เพราะจะเป็นการสร้างวิกฤตใหม่ซ้ำเติมประชาชน นอกเหนือจากปัญหาวิกฤติโควิด-19 ที่เป็นปัญหาสำคัญและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาวกรุงเทพไปอีกอย่างน้อย 30 ปี (พ.ศ. 2573-2602)  

นอกจากนั้นยังพบว่า จากการศึกษาข้อมูลรายงานประจำปีของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดย รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรมศาสตร์ พบว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีต้นทุนค่าโดยสารต่อเที่ยวเพียง  19.10 บาท, 16.30 บาท และ 13.50 บาท ในปี พ.ศ. 2562, 2561 และ 2560 ตามลำดับ จึงมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะสามารถกำหนดอัตราราคาค่าโดยสาร 25 บาทตลอดสายต่อเที่ยวหากไม่มีการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวล่วงหน้า

หรือหากพิจารณารายได้ของบริษัทในการต่อสัญญาสัมปทานล่วงหน้า ที่กำหนดรายได้ของบริษัทไว้เพียง 30,000 ล้านบาทต่อปีในระยะเวลา 30 ปี ขณะที่รายได้จริงของบริษัทในปี พ.ศ. 2562 สูงถึง 39,931 ล้านบาทต่อปี จึงเป็นการคำนวณรายได้ของบริษัทที่ต่ำกว่าจริงหรือไม่ และอาจจะเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนหรือไม่ และแน่นอนเป็นการสร้างภาระที่เกินควรให้ผู้บริโภค

หรือหากพิจารณาราคาค่าโดยสารของกระทรวงคมนาคมที่ให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี ก็มีราคาสูงสุดเพียง 49.83 บาทตลอดสายเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ระบบสายสีเขียวนี้มีกำไรถึง 380,200 ล้านบาท จนถึงระยะเวลาหมดสัมปทานในปี 2602 หากลดราคาดังกล่าวลงมา 50% สามารถมีค่าโดยสารรถไฟฟ้าราคา 25 บาท กรุงเทพมหานครก็ยังคงมีกำไรสูงถึง 23,200 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในอีก 38 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2602)
เพื่อลดปัญหาค่าครองชีพและลดค่าบริการขนส่งมวลชนของประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน  ที่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาระบบรถไฟฟ้า โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ชานเมืองที่เป็นเป้าหมายของการใช้ระบบรถไฟฟ้าในการเดินทางเข้ามาทำงานในใจกลางกรุงเทพมหานคร ตลอดจนเพื่อลดความแออัดของการจราจรบนท้องถนนและปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพและยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ในปัจจุบัน จึงขอเสนอให้คณะรัฐมนตรี คงราคารถไฟฟ้าสายสีเขียวราคา 44 บาทตลอดสาย ตามสิทธิของบริษัทในสัญญาสัมปทานนับแต่ปัจจุบันจึงปี พ.ศ. 2572 โดยมีการจัดเก็บค่าโดยสารเริ่มต้น 15 บาท ทั้งสัมปทานเดิมส่วนต่อขยายเดิมและส่วนต่อขยายใหม่ เพื่อยึดหลักการเข้าถึงได้ของบริการขนส่งมวลชนของคนทุกคน และคำนึงถึงปัญหาความเดือดร้อนและภาระเกินสมควรของผู้บริโภคท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ในปัจจุบัน