

- ตัวเลขเศรษฐกิจจีน-ยุโรปปรับดีขึ้นหลังคลายล็อดาวน์ หนุนหุ้นสหรัฐขยับขึ้น
- นักลงทุนซื้อหุ้น หลังมีความหวังเศรษฐกิจโลกฟื้น จะช่วยดันเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตาม
- โกลด์แมน แซคส์ ลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลงติดลบ 4.6% ดีกว่าไอเอ็มเอฟที่ให้ -8%
เมื่อเวลา 21.15 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 26,142.15 จุด เพิ่มขึ้น 314.79 จุด +1.21% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 10,388.96 จุด เพิ่มขึ้น 181.33 จุด หรือ +1.78% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,171.48 จุด เพิ่มขึ้น 41.47 จุด หรือ +1.32%
ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับเพิ่มขึ้น รับความหวังว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ได้หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ปิดตลาดไปตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ก.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกัับจีน และหุ้นพื้นฐานที่ได้ประโยชน์จากการคลายล็อกดาวน์ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นแตะ 2.9 ล้านคนแล้วในขณะนี้
ตัวเลขเศรษฐกิจจีน และยุโรปปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีน ที่มาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน เพิ่มขึ้นแตะระดับ 58.4 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2553 ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกของยูโรโซนเดือนพ.ค. ปรับตัวขึ้น 17.8% จากระดับของเดือนเม.ย. ดีดตัวในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกยอดค้าปลีกตั้งแต่ปี 2542 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ว่า ยอดค้าปลีกจะขยายตัว 15% ในเดือนพ.ค.
ขณะเดียวกัน ในฝั่งของสหรัฐ แม้โกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ เป็นร่วงลง 4.6% ซึ่งต่ำกว่าครั้งก่อนที่คาดว่าจะหดตัวลง 4.2% แต่ยังดีกว่าการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะติดลบ 8% ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์มองว่า แม้จะมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ แต่มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม กำลังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ นักวิเคราะห์ลดประมาณการอัตราว่างงานลงมาที่ 9% ในปีนี้ ดีกว่าครั้งก่อนหน้านี้ที่ 9.5%
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวน และปรับตัวลง ส่งผลต่อหุ้นพลังงาน หลังจากที่นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ยังคาดกาณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโรคโควิด-19 ระบาดได้ภายในปี 2565 เนื่องจากการเดินทางโดยยานพาหนะส่วนตัวจะเพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคจะเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะลดลง 8% ในปี 2563 จากนั้นดีดตัวขึ้น 6% ในปี 2564 และฟื้นตัวอย่างเต็มที่สู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2565