

สมาคมโรงแรมไทยลั่นท่องเที่ยวฟื้น ธุรกิจขาดแคลนหนัก “แรงงานทักษะ” 3 อาชีพ เร่งรัฐนำเข้า 4 ชาติ สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา
- เอกชนไม่รอไฮซีซันปี’66 มองข้ามช็อตรุกขายปี’67
- หลัง ททท.ปูทางตลาดเอเชีย อาเซีย ยุโรป ได้ดี
นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาชิกสมาคมโรงแรมไทยซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนและผู้ประกอบการหลักในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ทำข้อเสนอไปยังรัฐบาลใหม่เรื่อง “การแก้ไขปัญหาแรงงานภาคบริการ” ในโรงแรมทั่วประเทศยังขาดแคลนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้ประสานตรงไปยังนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานซึ่งเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับฟังปัญหาจากเอกชนต่อเนื่องมาหลายปี เพื่อปัจจุบันก็มีแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” สามารถจะเป็นประตูคัดเลือกแรงงานเข้าสู่อาชีพได้ โดยเสนอให้จัดทำเป็น “เมนูตำแหน่งงาน” อย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกกับคนที่กำลังมองหางานด้วย
ทางสมาคมโรงแรมไทย เดินหน้าหาแรงงาน 2 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 ให้ทางกระทรวงแรงงานช่วยเหลือเร่งด่วน “แรงงานต่างชาติ” กำลังทำรายละเอียดร่วมกันอยู่เนื่องจากการลงนามความเข้าใจเบื้องต้น (MOU) ที่ไทยทำกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 สัญชาติ ได้แก่ สสป.ลาว กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม ไปแล้ว แต่โรงแรมส่วนใหญ่ต้องการแรงงานจากฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นด้วย โดยภาพรวมอาจจะต้องดูวิธีนำเข้าบุคลากรซึ่งยังมีข้อจำกัดเรื่องวีซ่าต่างชาติเข้ามาทำงานในไทย เรื่องที่ 2 เร่งเดินหน้าสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ นักศึกษาอาชีวะ เตรียมความพร้อมรองรับอนาคต 3-5 ปี ที่จะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาไทย

ส่วน “ตำแหน่งงาน” ที่ทางผู้ประกอบการโรงแรมไทยต้องการที่สุดในช่วงสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต เบื้องต้น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 พนักงานที่เคยทำอาชีพอยู่กับโรงแรมช่วงก่อนโควิดมายาวนานมีทักษะการทำงานไม่กลับเข้าสู่อาชีพอีกแล้ว เช่น อาชีพพ่อครัว แม่ครัว หรือแรงงานทักษะดีจำนวนมากคนก็เลือกไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น กลุ่มที่ 2 พนักงานด้านบริหารจัดการรายได้ห้องพัก (revenue management) จะต้องพึ่งพาคนที่มีความเชี่ยวชาญสูงทำงานกับโรงแรมมานานพอสมควร กลุ่มที่ 3พนักงานที่เข้าใจการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่
สำหรับตำแหน่งหายากมากสุด ๆ ในตลาดตอนนี้ มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 พนักงานขายห้องพักและบริการต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ กลุ่มที่ 2 พนักงานตลาดไมซ์ เนื่องจากเกิดการเคลื่อนย้ายสถานที่ทำงานกันอย่างหนักท่ามกลางสถานการณ์ใหม่คือ “พฤติกรรมของนักท่องเที่ยว”ในประเทศและทั่วโลก เปลี่ยนเป็นกลุ่มเดินทางอิสระแบบเดี่ยว ๆ F.I.T.เพิ่มมากขึ้น จึงต้องอาศัยพนักงานที่มีทักษะความรู้ ความเข้าใจ เข้ามาดูแลตลาดและการขายซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
นางมาริสา กล่าวว่าเอกชนพร้อมจะร่วมกับรัฐบาลใหม่ และททท.เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจท่องเที่ยวระยะสั้นเร่งด่วนแบบ Quick Win ช่วง 100 วันแรก ในฐานะนายกสมาคมโรงแรมไทยเป็นตัวแทนภาคเอกชนเข้าไปนั่งเป็นคณะทำงานซูเปอร์บอร์ด ซอฟท์ เพาเวอร์ โดยพุ่งเป้า 2 อย่าง “คนกับประสบการณ์” เช่น แผนงานทำโครงการฝึกอบรมบุคลากรป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจากอดีตจนถึงปัจจุบัน “ไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพ” ชัดเจนที่สร้างพัฒนาแรงงานภาคบริการอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะนี้ภาคธุรกิจโรงแรมกำลังเป็นห่วงอย่างมาก เรื่องที่ 1 “จิตสำนึกการให้บริการ :Spirit of Services” เริ่มหายไป เพราะคนรุ่นใหม่มีวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ เปลี่ยนไป แต่ผู้ประกอบการไทยยังต้องการให้คงอัตลักษณ์ที่ดีไว้จะต้องหาวิธีทำอย่างไรให้คงอยู่ได้ เรื่องที่ 2 บุคลากรยุคใหม่ควรจะต้องมีความรู้รองรับโลกอนาคต เช่น การตลาดดิจิทัล การสร้างสรรนวัตกรรม เพราะนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มมิลเลนเนียลต้องการประสบการณ์มากกว่าการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม ต้องพร้อมรองรับความคาดหวังของตลาดยุคใหม่ โดยพึ่งพาการเชื่อมคนกับองค์กร สื่อสารสิ่งที่ดี ๆ ออกไป เรื่องที่ 3 ข้อมูล/Data ทางการท่องเที่ยวทั้งตัวเลข สัญชาติ แต่ละประเทศที่เดินทางเข้ามาเมืองไทยแล้วไปสถานที่ใดต่อ หรือแม้กระทั่งอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ซึ่งค่อนข้างทำได้ยาก ปัจจุบันมีข้อมูลดังกล่าวอยู่เกือบหมดแล้ว แต่จะต้องมีหน่วยงานเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน แล้วนำเสนอได้แบบเรียลไทม์วันต่อวัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับภาคธุรกิจสามารถนำมาประเมิน วิเคราะห์การขยายตลาดอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขณะนี้ที่พักโรงแรม รีสอร์ต ทั่วประเทศทั้ง 5 ภูมิภาค ทยอยเปิดบริการไม่ได้ 100 % ตามสัดส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ “ตลาดจีน” ส่งผลถึง “อัตราการเข้าพักเฉลี่ย :OR :Occupacy Rate” ยังไม่ได้สมดุลหรือกระจายตัวได้มากนัก ปัจจุบันกระจุกตัวอยู่กับโรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งสามารถปรับราคาขายได้สูงเกินกว่าปี 2562 ไปเรียบร้อยแล้ว ตามความต้องการของนักเดินทางซึ่งเป็นกลุ่มคุณภาพเดินทางอิสระได้ด้วยตนเองแล้วมีกำลังซื้อสูงด้วยส่วนโรงแรมระดับ 2-4 ดาว ยังคงแข่งขันกันเรื่องราคาห้องพักมากพอสมควร
ขณะที่ผู้ประกอบการโรงแรมไทยส่วนใหญ่ได้ประเมินสถานการณ์ไฮซีซันปีนี้จะเริ่มดีตั้งแต่ไตรมาส 4 หลังเดือนพฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป แต่ตลาดก็คงยังไม่ได้ดีเทียบเท่าปี 2562 โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวเมืองไทยตลอดปีนี้เต็มที่จะทำประมาณ 28-29 ล้านคน แตกต่างจากฐานเดิมทำไว้ปีละ 40 ล้านคน ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมต้องมองข้ามช็อตมุ่งหาลูกค้าข้ามไปทำการตลาดปี 2567 แทน เพราะเป้าหมายรัฐบาลมีนโยบายกำลังเร่งเพิ่มต่างชาติเที่ยวไทยให้ได้ 30 ล้านคนขึ้นไป สร้างรายได้ 3 ล้านล้านบาท
ปี 2567 เอกชนมีความหวังมากขึ้นเมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำได้ดีมากเรื่องแผนหาตลาดต่างประเทศกลุ่มใหม่ ๆ ได้แก่ 1. อาเซียน ไฮไลต์ 3 ตลาดหลัก มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม 2.เอเชีย เกาหลีใต้ปีนี้ตลาดดีเกินคาด ส่วนญี่ปุ่นเริ่มกลับมาบ้างแล้ว อินเดีย ขยายผลได้ง่ายโตเร็ว 3.ตลาดตะวันออกกลาง เป็นน้องใหม่ทางการบินไทยกำลังเปิดเที่ยวบินเพิ่มขึ้น แต่พอเกิดการสู้รบขึ้นในอิสราเอลซึ่งกำลังเป็นตลาดที่ไปได้ดีก็อาจจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง 4.ยุโรปตะวันออก หลายประเทศยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ต่อไป
ล่าสุดทางสมาคมโรงแรมไทยได้เข้าร่วมหารือกับนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท.คนใหม่ ได้เห็นกลไกการทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะแผนฟื้นฟู “ตลาดจีน” ตอนนี้มีมาตรการทางการตลาดทั้งเชิงดิจิทัล อีเวนต์ ซอฟท์ เพาเวอร์ ซึ่งน่าสนใจอย่างมากที่จะช่วยเอกชนทำธุรกิจท่องเที่ยวให้ดีขึ้น
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen