

- สั่งกสอ.สำรวจผลกระทบ-ความต้องการด่วน
- ผู้ประกอบการขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ
- ทุ่ม110ล้านบาทเกื้อหนุนพ้นวิกฤตในกลางปีนี้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่ที่แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ไม่รุนแรงมากนัก แต่ก็เป็นการระบาดในจังหวะที่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูกิจการจากการระบาดครั้งแรก ซึ่งก็ทำให้ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบในระดับหนึ่ง ตนจึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ หามาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ให้สามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้
ล่าสุด กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.)และศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคทั้ง11 แห่งทั่วประเทศได้ส่งเจ้าหน้าที่กสอ. ลงสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ เพื่อรับฟังปัญหา และความต้องการที่จะให้ภาครัฐช่วยเหลือ เพื่อรวบรวมมานำเสนอในการวางนโยบายที่สอดรับกับปัญหาของแต่ละพื้นที่ และให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีแม้ว่าโควิด-19ระลอกใหม่จะเริ่มคลี่คลายลงในระดับหนึ่ง จากการไปจัดเก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการ 1,500 ราย แบ่งเป็น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 1,095 รายหรือ 73% และวิสาหกิจชุมชน(โอทอป) รวม405 รายหรือ 27%
ทั้งนี้ ผลสำรวจพบว่า 3 อันดับแรกของผลกระทบของโควิด-19ระลอกใหม่ ต่อเอสเอ็มอี คือ กำลังซื้อของลูกค้าลดลง 84.87% , การแข่งขันทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้น 66.53% , สินค้าสามารถขายได้น้อยลง ซึ่งจำเป็นต้องจัดโปรโมชั่นลดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้า และ การลงทุนลดลง 63.05 %เนื่องจากขาดเงินทุนหมุนเวียน รายได้ลดลง การเก็บเงินจากลูกค้าทำได้ยากขึ้น ทั้งยังต้องจ่ายค่าจ้างเพื่อรักษาแรงงาน
“ผู้ประกอบการ 3.08% หรือ46 ราย ระบุว่าสามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติ ขณะที่ 95.78% หรือ 1,431 รายระบุว่า มีการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม และมีการปิดการไปแล้ว 1.14 %หรือ23ราย”
ทั้งนี้ เมื่อถามว่า ผู้ประกอบการยังต้องการให้ช่วยเหลือเพิ่มเติมในด้านใดบ้าง พบว่า 35.27 %ต้องการให้เพิ่มความช่วยเหลือมาตรการด้านการเงิน อาทิ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การพิจารณา การขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ ขณะที่ 16.87 %ต้องการให้เพิ่มความช่วยเหลือในการขยายตลาด และ 14.06% ต้องการให้ลดค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
นายสุริยะ กล่าวว่า จากการสำรวจยังพบว่า การแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้ เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ มีการปรับตัวสอดคล้องไปกับแนวทางที่ กสอ.ได้แนะนำไว้ก่อนหน้านี้ทั้งการขยายตลาดสู่ออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขาย,การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ,การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในภาคการผลิต ,การเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิต เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นแรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศต้นทาง เป็นต้น
นอกจากการสำรวจความต้องการ ของผู้ประกอบการ กสอ. ยังได้จัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการอีก 45 โครงการ ให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ เพื่อต่อยอดกำหนดเป็นนโยบายที่เหมาะสมกับบริบทการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีในเชิงรุกให้เกิดการปรับตัวของภาคธุรกิจ โดยได้กำหนดเป็น 3 มาตรการเร่งด่วน ประกอบด้วย 1.มาตรการเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีทักษะการบริหารการเงินที่ดี หรือ Financial Literacy ทั้งการวางแผนการบริการจัดการหนี้ การจัดการธุรกิจในภาวะวิกฤต การวางแผนด้านภาษี และการเตรียมความพร้อมในการขอสินเชื่อ ผ่านการพัฒนาทักษะการเขียนแผนธุรกิจสำหรับใช้ประกอบการพิจารณาขอสินเชื่อ
2. มาตรการเพื่อสนับสนุนด้านการตลาด ซึ่งปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง จึงต้องใช้เครื่องมือที่เข้าถึง สามารถจูงใจให้เกิดความต้องการซื้อสินค้า จากผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ เป็นผู้นำทางความคิดในยุคแห่งความเป็นปกติใหม่ หรือ อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง จึงมีแนวคิดพัฒนาบุคลากร กสอ. เพื่อเข้าไปเป็นเทรนเนอร์ในการฝึกฝนนักศึกษา ซึ่งถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญการใช้โซเชียลมีเดีย ให้มีทักษะทางการขายออนไลน์ สามารถสาธิต เปรียบเทียบ แนะนำสินค้าและบริการ พัฒนาให้เป็น “นักส่งเสริมการตลาดออนไลน์” ช่วยขับเคลื่อนพลังทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการได้อีกช่องทางหนึ่ง
3.มาตรการเพื่อพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ อาทิ การใช้ระบบควบคุมอัติโนมัติที่สามารถเริ่มต้นการทำงานได้เองผ่านการรันโปรแกรมที่วางไว้เพื่อช่วยในการควบคุมหรือสั่งงานของระบบควบคุมอัติโนมัติให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด( ออโตเมชั่น) เพื่อทดแทนปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว ซึ่งบางส่วน มีการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย อันเป็นหนึ่งในสาเหตุของการแพร่ระบาดในระลอกใหม่ ซึ่งการใช้ออโตเมชั่นในภาคการผลิต จะทำให้สามารถคำนวณข้อจำกัดต่าง ๆ ทั้งยังช่วยให้เกิดการวางแผนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต สามารถหยุดและดำเนินการผลิตได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อแรงงานอีกทางหนึ่ง
นายสุริยะ กล่าวว่า นอกเหนือจาก3 มาตรการดังกล่าวแล้ว ยังต้องส่งเสริมผู้ประกอบการเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการฝึกอบรมพัฒนาทักษะเพิ่มเติม เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเครื่องจักรและเครื่องทุ่นแรง การวางแผนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพที่สามารถติดตามผลการดำเนินงานเพื่อการปรับปรุงแผน เมื่อเกิดภาวะการณ์ต่าง ๆได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อยด้วยการสร้างความโดดเด่น พร้อมการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาด ฯลฯ *สำหรับ งบประมาณที่กสอ.จะใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายทั้งหมดนี้ ได้จัดเตรียมไว้ 110 ล้านบาท เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ 2,800 กิจการ จำนวนแรงงานที่ได้รับการช่วยเหลือ 10,000 คน จากจำนวน350 ผลิตภัณฑ์ และ28 กลุ่ม/ชุมชน ที่ คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 1,000 ล้านบาท