

“สุรพงษ์“เล็งขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูกิจการ รฟท. เร่งแยกบัญชีเชิงสังคม PSO-เชิงพาณิชย์ ออกจากกันให้เด็ดขาด หวังเป็นตัวชี้วัดศักยภาพองค์กร ก่อนเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนขยายการให้บริการขนส่งสินค้าทางราง เปิดกว้างให้เอกชนเข้ามาใช้รางมากขึ้น มั่นใจสร้างรายได้ ขณะที่การจัดเก็บค่าโดยสารชั้น 1-2 ต้องเก็บตามจริง เพื่อนำส่วนนี้อุดหนุนผู้มีรายได้น้อยทางบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ในวันพุธ ที่ 11 ต.ค.นี้ ตนจะไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กับ การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ซึ่งจากการศึกษารายละเอียดข้อมูลเบื้องต้นพบว่า สิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการก่อนคือ ฟื้นฟูกิจการ รฟท. ตามแผนฟื้นฟูกิจการ รฟท.ซึ่งปัจจุบัน รฟท. ประสบปัญหาการขาดทุนสะสมจากการดำเนินการรวมกว่า 200,000 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถหาแนวทางในการลดขาดทุน ได้อย่างจริงจัง ขณะที่รฟท. มีรางรถไฟครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 4,000 กม. ซึ่งนโยบายจะให้ รฟท. แยกบัญชีการดำเนินการเชิงสังคม(PSO) และ เชิงพาณิชย์ แยกออกจากกันเพื่อให้รู้ต้นทุน รายได้ ให้ชัดเจน
ทั้งนี้ในการแยกบัญชีเชิงสังคม และ เชิงพาณิชย์ ออกจากกันจะทำให้ รฟท. รู้ต้นทุนในการบริหารจัดการ ขณะที่การจัดเก็บอัตราค่าโดยสารรถไฟนั้น เห็นว่าค่าโดยสารในชั้น 2 และ ชั้น1 ควรที่จะจัดเก็บอัตราค่าโดยสารตามต้นทุนที่แท้จริงเพื่อให้ค่าโดยสารส่วนนี้สะท้อนต้นทุนของการบริการ และบริหารจัดการตามจริง และสามารถนำค่าโดยสารส่วนนี้ีมาอุดหนุนค่าโดยสารของผู้มีรายได้น้อย ในชั้น 3 ได้ ในรูปแบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังพบว่า รฟท. ยังไม่ได้ใช้ศักยภาพองค์กรที่มีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากรางรถไฟทั่วประเทศ ที่มีกว่า4,000 กม. ขณะที่การขนส่งสินค้าทางรางเป็นการขนส่งที่มีราคาต้นทุนถูกกว่าการขนส่งในระบบอื่นๆ และจะเห็นว่าในปัจจุบันการขนส่งสินค้าทางรางในประเทศ มีสัดส่วนการขนส่งเพียง 20%เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก และ รฟท. ก็ไม่ได้เปิดกว้างที่จะนำรางรถไฟที่มีมาบริหารจัดการเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่รฟท. ไม่ใช้ราง ดังนั้นนโยบายจะเน้นและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าจากภาคเอกชนเข้ามาใช้ระบบรางของ รฟท.ในการขนส่งสินค้ามากขึ้น ซึ่งนอกจากจะใช้ประโยชน์จากรางที่มีแล้ว ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับ รฟท. เพิ่มขึ้นด้วย
“วันนี้ถ้าจะทำให้ รฟท. ลดการขาดทุน และเลือดหยุดไหลจากการมีหนี้สะสม ต้องลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ ซึ่งการใช้ประโยชน์จากรางมากขึ้น เป็นอีกช่องทางที่จะเพิ่มรายได้ให้ รฟท. ได้ โดยหลังจากนี้ต้องทำให้รางรถไฟใครๆ ก็ใช้ได้ เหมือนกับทางด่วนโทลล์เวย์ เป็นทางที่ใครๆ ก็ขึ้นใช้บริการได้ แต่ต้องจ่ายเงิน นอกจากนี้ต้องไม่ทำให้ตารางเวลา(slot) การใช้รางว่าง และการจะเปิดให้ใครเข้ามาใช้บริการรางรถไฟนั้น ต้องไม่เป็นการผูกขาดด้วย อย่างไรก็ตามมองว่า รฟท. ควรเพิ่มการขนส่งสินค้าทางรางให้มากขึ้น โดยต้องเจรจากับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และเอกชน อาทิ เอสซีจี และ ปตท. เพื่อให้หันมาใช้บริการขนส่งทางรางให้มากขึ้น ซึ่งรมช.คมนาคม พร้อมไปเป็นเซลล์ให้ก็ได้”
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานปัจจุบันของ รฟท.เดิมจะมีการตั้งบริษัทลูก 3 บริษัท ในส่วนนี้จะต้องมาดูในรายละเเอียด และไทม์ไทม์ให้มีความชัดเจน ซึ่งได้รับรายงานว่าดำเนินการไปแล้วคือ บริษัทลูกด้านบริหารทรัพย์สินคือ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA)และขณะนี้อยู่ระหว่างการโอนสัญญาและสิทธิ ซึ่งตรงนี้ รฟท. ต้องเร่งดำเนินการว่าจะมีทรัพย์สินที่จะเพิ่มรายได้ในส่วนนี้อย่างไร ส่วนบริษัทลูกที่เหลือ คือ บริษัทลูกเดินรถ และซ่อมบำรุง ซึ่งจะดำเนินการหลังจากนี้ หากดำเนินการได้ก็จะทำให้เกิดความคล่องตัวและเพิ่มรายได้ให้รฟท. ได้