สายเล่นหุ้นโปรดทราบ! ครม. ไฟเขียวเก็บภาษีขายหุ้น 0.11% คาดเติมเงินเข้าเป๋ารัฐได้ 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี

  • เผยกฎหมายจะมีผลบังคับใช้ หลังจากลงประกาศในร่างราชกิจจานุเบกษาแล้ว 3 เดือน
  • ย้ำกฎหมายนี้ จะยกเว้นในส่วนของกองทุนต่างๆ อาทิ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญฯ กองทุนประกันสังคม
  • “อาคม” ลั่นเชื่อกฎหมายนี้จะไม่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากมีการพูดคุยกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (28 พ.ย.65) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังในเรื่องการจัดเก็บภาษีการขายหุ้น ( Financial Transaction Tax) โดยให้ยกเลิกการยกเว้นการจัดเก็บภาษีขายหุ้น โดยเมื่อมีการยกเลิกแล้วในด้านอัตราการเก็บภาษี ซึ่งจะดำเนินการให้ไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ตามกฎหมายของกรมสรรพากร 

โดยกำหนดให้จัดเก็บภาษีการขายหุ้นดังกล่าว ให้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหุ้นในอัตรา 0.1% บวกด้วยภาษีท้องถิ่นอีก 10% ของภาษีธุรกิจเฉพาะ รวมเป็นภาระภาษี FTT อยู่ที่ 0.11%  ซึ่งการยกเว้นภาษีดังกล่าว เพื่อสนับสนุนตลาดหลักทรัพย์ มาอย่างยาวนานถึง 40 ปี ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ก็จะมีช่วงเวลาให้นักลงทุนปรับตัว 3 เดือน ซึ่งก็หมายว่า กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ หลังจากลงประกาศในร่างราชกิจจานุเบกษาแล้ว 3 เดือน หรือราววันที่ 1 เดือน 4 ปี 66

ทั้งนี้ ในการเก็บภาษีขายหุ้นดังกล่าวจะมีการยกเว้นในส่วนของกองทุนต่างๆ อาทิ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และบรรดานักลงทุนรายใหญ่ (Market Maker) ทั้งหลาย เป็นต้น ซึ่งกลุ่มพวกนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ อีกทั้งบ้างกองทุนก็มีการออกตราสารออกมา ซึ่งก็มีส่วนช่วยกระตุ้นสภาพคล่องให้มีการซื้อขายกันมากขึ้น ในส่วนนี้ก็จะมีการยกเว้นไว้ โดยการเก็บภาษีขายหุ้นก็จะไม่กระทบในกลุ่มนี้

นายอาคม กล่าวต่อว่า ในส่วนภาษีขายหุ้นนี้ จะให้ทางนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เป็นคนรวบรวม ส่วนผู้ขายผู้ซื้อไม่ต้องดำเนินการใดๆ อีกทั้งในส่วนของเพดานการเรียกเก็บภาษีขายหุ้นนั้น ก็จะเรียกเก็บตั้งแต่บาทแรกเลยไม่มีกำหนดเพดานการขายขั้นต่ำหรือเริ่มต้นแต่อย่างใด

สำหรับการเก็บภาษีขายหุ้นนั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนให้กฤษฎีกาไปตรวจร่างกฎหมายอยู่ โดยหากตรวจร่างกฎหมายแล้วไม่มีสาระสำคัญที่ต้องแก้ไขก็ไม่ต้องเข้า ครม. ก็สามารถประกาศใช้ได้ทันที

“คาดการณ์ว่าการจัดเก็บภาษีขายหุ้นนี้ หากเก็บเต็มปีจะสร้างรายได้ให้รัฐที่ 15,000-16,000 ล้านบาท ในอัตราเรียกเก็บที่ 0.11%” นายอาคม กล่าว

ทั้งนี้การจัดเก็บภาษีขายหุ้นนี้ ก็มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลี่ยมล้ำ อีกทั้งในข้อกังวลหากผู้ขาย มีการขายขาดทุนต้องมาถูกเก็บภาษีขายหุ้นอีก ก็บอกเลยว่าไม่ต้องนำมาคิดเพราะเป็นส่วนของหลักเกณฑ์ในการซื้อขายหุ้น เพราะเป็นหลักการของธุรกิจเฉพาะเสียเพียงครั้งเดียว อีกทั้งไม่ต้องนำกลับมารายงานเก็บส่งให้สรรพากรแต่อย่างใด

“กฎหมายการเก็บภาษีขายหุ้นนี้ เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นมาก เนื่องด้วยเรื่องนี้มีการพูดคุยกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลังได้เสนอตราพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ .. พ.ศ..) ปรับปรุงการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีหลักการดังนี้

1.ยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราดังต่อไปนี้ 1. อัตรา 0.05% (0.055% เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และ 2. อัตรา 0.1% (0.11% เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป 

โดยในการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะดังกล่าว ได้กำหนดให้สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่เป็นตัวแทนของผู้ขายมีหน้าที่หักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขาย และยื่นแบบแสดงรายการภาษี และชำระภาษีในนามตนเองแทนผู้ขายโดยผู้ขายไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก 

อย่าไรก็ตาม การยกเว้นการจัดเก็บภาษีดังกล่าวกับ ผู้ดูแลสภาพคล่อง (มาร์เก็ต เมคเกอร์) และกองทุนบำนาญซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายรวมกันไม่เกิน 15% ของมูลค่า ได้แก่ กองทุนที่จ่ายเงินสมทบหรือเงินสะสม เข้ากองทุนสามารถหักลดหย่อนเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินหรือผลประโยชน์อื่นที่ได้รับจากกองทุนเพื่อเกษียณอายุ ตลอดจนกองทุนรวมที่ขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่กองทุนดังกล่าว 

ทั้งนี้ การจัดเก็บในอัตราลดลงครึ่งหนึ่ง หรือ 0.05% ในปีแรก เนื่องจากเป็นการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์มานาน และหลังจากนั้น จะจัดเก็บในอัตรา  0.1% ตามประมวลรัษฎากรในปีต่อ ๆ ไป โดยรวมจึงไม่ได้ทำให้สูญเสียรายได้ แต่จะทำให้รายได้ภาษีธุรกิจเฉพาะดังกล่าวเพิ่มขึ้นในปีแรกของการจัดเก็บประมาณ 8,000 ล้านบาท และในปีต่อๆ ไป หลังเก็บเต็มอัตรที่กำหนด 0.1% รัฐบาลจะจัดเก็บได้ 16,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีดังกล่าว เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในการจัดเก็บรายได้ภาษีและลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ 

ผู้สื่อข่าวรายงาน เพิ่มเติมว่า ขณะนี้มูลค่าการซื้อขายหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2561 อยู่ที่ 13,820,219.77 ล้านบาท ปี 2562 อยู่ที่ 12,802,090.72 ล้านบาท ปี 2563 อยู่ที่ 16,362,357.27 ล้านบาท และปี 2564 อยู่ที่ 21,314,782.38 ล้านบาท เฉลี่ยทั้ง 4 ปี อยู่ที่ 16,074,862.54 ล้านบาท