วันนี้ (11 ก.ย.64) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้แถลงข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้น 595,081 ราย ทำให้ทั่วโลกมียอดติดเชื้อสะสม224,647,087 ราย โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีการระบาดมากที่สุด โดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 171,125 รายสะสม 41,741,693 ราย รองลงมาเป็นอินเดียติดเชื้อเพิ่มขึ้น 37,873 ราย สะสม 33,200,877 ราย สังเกตเห็นสถานการณ์ยังขึ้นๆลงๆ แต่ในภาพรวมยังคงรุนแรง สำหรับผู้เสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มขึ้น 9,080 ราย สะสม 4,630,843 ราย ส่วนสถานการณ์ประเทศไทยเพิ่มขึ้น 15,191 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 253 ราย
อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศไทย หากจะลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกัน เห็นว่าในขณะนี้สถานการณ์การระบาดจะดูเหมือนลดลง จึงขอบคุณความร่วมมือของประชาชน ในการดำเนินมาตรการต่างๆ โดยในระยะต่อไปก็คงจะต้องมีการดำเนินการต่างๆมากขึ้น เช่นเรื่องของการป้องกันส่วนบุคคล การฉีดวัคซีน การตรวจคัดกรองต่างๆ ซึ่งต่อไปจะเป็นสิ่งที่จะต้องทำมากขึ้นแล้วก็บ่อยขึ้น ก็คือเรื่องของมาตรการองค์กร ถ้าสถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเปิดทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะต้องมีมาตรการที่ทำให้การระบาดไม่กลับไปมากขึ้นเหมือนเดิม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการฉีดวัคซีนตอนนี้เพิ่มขึ้น 753,503 โดส สะสม 39,631,862 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 26,954,546 ราย และเข็มสอง 12,063,642 ราย ในระยะต่อไปเราจะมีวัคซีนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้วัคซีนแต่ละยี่ห้อที่ประเทศได้นำมาฉีดทั้งหมดผ่านห้องปฏิบัติการ โดยทุกชนิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค โดยซิโนแวคมีการวัดประสิทธิภาพลดการป่วยหนักหรือเสียชีวิต ซึ่งการระบาดที่สมุทรสาครมีประสิทธิอยู่ 90.5% แต่พอเชื้อไวรัสเปลี่ยนแปลงไปประสิทธิภาพในช่วงหลังๆลดลง เนื่องจากเชื้อมีการกลายพันธุ์ แต่ถ้าต้องการป้องกันโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะต้องมีกระบวนการการในการบริหารจัดการวัคซีน ซึ่งประเทศไทยใช้คือการเปลี่ยนสูตรวัคซีนเดิมวัคซีนแต่ละยี่ห้อจะฉีดยี่ห้อนั้นๆครบสองเข็ม แต่พอพบเหตุการณ์แบบนี้ ก็ได้ปรับวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยมาปรับสูตร โดยสูตร ปัจจุบันใช้เป็นซิโนแวคเข็มแรก และแอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มที่ 2 ข้อดีก็คือภูมิคุ้มกันขึ้นพอๆ กับฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 ต่อสู้กับสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ในระยะต่อไปกระทรวงสาธารณสุข จะรีบดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนครบสองเข็มได้เร็วขึ้น เพื่อลดอาการรุนแรง ทั้งนี้วัคซีนไม่ใช่วิธีการป้องกันโรคเพียงอย่างเดียว มาตรส่วนบุคคล ก็ยังต้องเข้มงวด นอกจากนี้กลุ่มผู้เสียชีวิตกว่า 90% เป็นกลุ่ม 608 ซึ่งเราต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีนต่อไปครอบคลุม อย่างไรก็ตามจากนี้ไปปลายเดือนก.ย. ไทยจะฉีดวัคซีนได้ทั้งหมด 45 ล้านโดส โดยมีวัคซีนหลักอยู่ 4 บริษัท คือ ซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า ไฟเซอร์ และซิโนฟาร์ม โดยผลข้างเคียงทุกยี่ห้อส่วนใหญ่จะคล้ายกันมีไข้ ปวดศรีษะ ถ้าทานยา ลดไข้ ทานยาแก้วิงเวียน อาการก็จะดีขึ้น แต่ผลข้างเคียงที่เราติดตาม คืออาการแพ้รุนแรง ของซิโนแวคโดยอาการที่รุนแรงคือ อาการแพ้วัคซีนพบทั้งหมด 24 ราย คิดเป็น 0.1 % ต่อแสนราย ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า มีทั้งหมด 6 ราย คิดเป็น 0.04% ต่อแสนราย
ทั้งนี้ทั้งหมดที่กล่าว รักษาหายกลับเป็นปกติ ส่วนภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังจากได้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรป พบค่อนข้างมาก ส่วนในเอเชียพบค่อนข้างน้อย พบเพียง 5 ราย คิดเป็น 0.03 % ต่อประชากรแสนคน เพราะฉะนั้นวัคซีนหลัก 2 ตัวนี้ มีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย ถือว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยอยู่ในระดับสูงส่วนไฟเซอร์ ที่สหรัฐฯ พบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ตอนนี้ในไทยพบ 1 ราย หลังจากฉีดไปประมาณ 1 ล้านโดส คิดเป็น0.1% ต่อประชากรแสนราย โดยรายนี้ไม่รุนแรงและหายเป็นปกติแล้ว อย่างไรก็ตามอาการไม่พึงประสงค์ และอาการข้างเคียงเป็นสิ่งสำคัญ ทางกระทรวงสาธารณสุข ก็มีการติดตามข้อมูล เพื่อให้ทราบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยมากแค่ไหน
“สำหรับรายที่เสียชีวิตภายหลังการฉีดวัคซีน โดยเวลาที่นับฉีดวัคซีน เรามีการติดตามคนๆนั้น ไปประมาณ 4 สัปดาห์ หากเกิดอาการผิดปกติ ต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต สาธารณสุขจะต้องมีการพิสูจน์ว่าเกิดจากวัคซีนหรือเปล่าถ้าเป็นไปได้ในรายที่เสียชีวิตจะต้องขอชันสูตรศพว่าเกิดจากอะไร และนำผลชันสูตรให้คณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส ยังกล่าวอีกว่า ข้อมูลฉีดวัคซีนทั้งหมดพบว่า ผู้เสียชีวิตภายหลังการฉีดวัคซีนที่รับรายงานจำนวน 628 รายคณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเสร็จแล้ว 416 ราย พบว่าส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ทั้งหมด 249 ราย โดยพบมีสาเหตุต่างๆกัน อาทิเช่น ติดเชื้อในระบบประสาท เลือดออกในสมอง เส้นเลือดสมองอุดตัน ปอดอักเสบรุนแรง ลิ่มเลือดอุดตันในปอด รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และมะเร็ง เป็นต้น ส่วนอีก 32 รายไม่สามารถสรุปได้ โดยสรุปที่มีการฉีดวัคซีนไปเกือบ 40 ล้านโดส มีอยู่รายเดียวที่เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่ร่วมกับเกล็ดเลือดต่อ Vaccin-induce immune thrombotic thrombocytopenia (VITT) หลังได้รับการฉีดวัคซีนเกิดได้จากการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ถ้าในต่างประเทศพบค่อนข้างมากที่ 0.7% ต่อประชากรแสนราย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในคนผิวขาว ส่วนคนเอเชียเกิดค่อนข้างน้อย โดยคณะผู้เชี่ยวชาญ ได้รับคำแนะนำภาวะนี้เกิดได้แต่น้อยมาก และสามารถรักษาให้หายถ้ามีการวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นหลังฉีดวัคซีน ถ้าเกิดอาการผิดปกติ อย่างเช่นปวดศีรษะมาก แขนขาอ่อนแรง ก็ให้ไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อเพราะฉะนั้นประโยชน์ในการฉีดวัคซีนยังมีอยู่ค่อนข้างสูง จึงขอให้ประชาชนรับวัคซีนต่อไป แต่สิ่งที่สาธารณสุขจะต้องเร่งรัดให้บุคลากรทางการแพทย์ให้ทราบเรื่องภาวะ VITT เพื่อให้วินิจฉัยอย่างรวดเร็ว และเพิ่มการพัฒนาการตรวจในห้องปฏิบัติการ
นอกจากนี้ในส่วนเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังได้รับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีน mRNA โดยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นการติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นไวรัสหรือแบคทีเรีย รวมถึงเชื้อโควิค-19 โดยส่วนใหญ่เกิดใน 10 รายต่อประชากรแสนคน สำหรับในไทยพบไม่ค่อยมาก ประมาณ 2 คนต่อประชากรแสนคน ส่วนใหญ่จะพบในวัคซีนไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ส่วนวัคซีนอื่นๆ พบได้แต่ไม่บ่อย ในไทยฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 8 แสนคน พบรายงานเพียง 1 คน เป็นเพศชายอายุ 13 ปี มีอาการเจ็บหน้าอก 2 วัน ภายหลังได้รับการฉีดวัคซีน โดยตรวจไม่พบการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ขณะนี้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและอาการดีขึ้นแล้ว
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการฉีดวัคซีนนั้น ที่ประชุม ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบ แผนการจัดหาวัคซีน รวมถึงแผนการฉีดวัคซีนในเดือน ต.ค. นี้ โดยจะมีวัคซีนจากซิโนแวค เข้ามา 6 ล้านโดส แอสตร้าเซนเนก้า 10 ล้านโดส และไฟเซอร์ 8 ล้านโดส รวม 24 ล้านโดส นอกจากนี้ยังมีวัคซีนจากซิโนฟาร์ม เข้ามาอีก 6 ล้านโดส โดยตั้งแต่เดือน ต.ค.2564 เป็นต้นไป จะมีวัคซีนเข้ามาค่อนข้างมาก ซึ่งจะมีการเร่งฉีดให้กับประชาชนเพื่อลดอาการป่วยหนัก หรือเสียชีวิต และลดการแพร่ระบาด
สำหรับแผนการฉีดวัคซีน ที่ ศบค.เห็นชอบในเดือน ต.ค.นี้ เป้าหมายฉีดให้กับประชาชนอย่างน้อย 50% ของทุกจังหวัดโดยจะพยายามอย่างน้อย 1 จังหวัด มีความครอบคลุม 70% และมีต้นแบบ COVID Free Area อย่างน้อย 1 พื้นที่ซึ่งมีความครอบคลุม 80% นอกจากนี้ยังคงเพิ่มความควบคุมในกลุ่ม 608 ให้มากที่สุด นอกจากนั้นในจังหวัดนั้นๆ หากมีกลุ่มประชากรเป้าหมายอื่นที่สำคัญ ให้คณะกรรมการจังหวัดจัดสรรได้ อย่างน้อยให้ครอบคลุมประชากร 50%
นอกจากนี้ในเดือน ต.ค.นี้ จะมีประชากรที่ฉีดวัคซีนเข็ม 2 ค่อนข้างมาก โดยจะฉีดให้ครอบคลุมมากที่สุด อีกประการหนึ่งในเด็กอายุ 12 ปี ที่เรามีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามา เราจะเร่งฉีดเพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปิดภาคเรียน โดยกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการดำเนินการ ส่วนคนที่ฉีดซิโนแวคไปแล้ว 2 เข็ม มีการเห็นชอบฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในเดือน ต.ค. เช่นกัน หากมีความพร้อมอาจจะเริ่มได้ก่อน
“ภาพรวมเราจะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไป 16.8 ล้านโดส เด็กนักเรียน 4.8 ล้านโดส แรงงานในระบบประกันสังคม 0.8 ล้านโดส หน่วยงานอื่นๆ เช่นองค์กรภาครัฐราชทัณฑ์ 1.1 ล้านโดส และผู้ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มและต้องการเข็มกระตุ้นที่ 0.5 ล้านโดส รวม 24 ล้าน ซึ่งก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์” นพ.โอภาส กล่าว