

วันที่ 30 ส.ค.2564 นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนก.ค. 2564 ส่งสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากการใช้จ่ายของภาคเอกชนที่มีสัญญาณชะลอลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างไรก็ตามการส่งออกสินค้ายังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนกรกฎาคม 2564 ลดลง 9.8% และ 17.7% ต่อปี ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลลดลง 13.3% และ 16.0 %ตามลำดับ สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 40.9 จากระดับ 43.1 ในเดือนมิ.ย. 2564 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังไม่คลี่คลายอย่างไรก็ตามการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ และรายได้เกษตรกรที่แท้จริงยังคงขยายตัวได้ที่ 22.9% และ 6.2% ต่อปี ตามลำดับ
ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ในเดือนกรกฎาคม 2564 ลดลงที่ 12.4% ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลลดลง 14.3% สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 12.0% ต่อปี และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 10.2 %เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้การก่อสร้างชะลอตัว สอดคล้องกับภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลงที่ 11.6% ต่อปี และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 10.3% อย่างไรก็ตามปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 32.6% ต่อปี
ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกรกฎาคม 2564 อยู่ที่ 22,650.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่ 20.3% ต่อปี และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมัน ทองคำ พบว่า ขยายตัว 25.4% ต่อปี โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1. สินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะ ยางพารา ผักและผลไม้ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และ 2.สินค้าอุตสาหกรรม อาทิ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า การส่งออกไปยังตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ อินเดีย จีน และสหรัฐฯ ขยายตัวที่ 75.3% 41.0% และ 22.3% ต่อปีตามลำดับ
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ส่งสัญญาณขยายตัวจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินเข้าประเทศไทยสูงสุดในรอบ 16 เดือน โดยภาคเกษตรยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนกรกฎาคม 2564 ขยายตัวที่ 6.5% ต่อปี และขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 1.9% จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ ได้แก่ ข้าวเปลือก ยางพารา มันสำปะหลัง และหมวดไม้ผล ในขณะที่บริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนกรกฎาคม 2564 นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) นักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ และนักธุรกิจเดินทางเข้าประเทศไทย จำนวน 18,056 คน สูงสุดในรอบ 16 เดือน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร อิสราเอล ฝรั่งเศส และเยอรมนี ซึ่งในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาตามโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” จำนวน 14,055 คน สำหรับการท่องเที่ยวของชาวไทย จำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนกรกฎาคม 2564 อยู่ที่ 869,248 คน ลดลงที่ 91.3% ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังไม่คลี่คลาย
ส่วนภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ในเดือนกรกฎาคม 2564 ยังคงขยายตัวได้ที่ 5.1% ต่อปี แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 2.9% สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 78.9 จากระดับ 80.7 ในเดือนมิ.ย.2564 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อสถานการณ์การโควิด ที่มีการระบาดในคลัสเตอร์ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
“เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.45% ต่อปี ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 1.25% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.14% ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2564 อยู่ที่ 55.2% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนก.ค.2564 อยู่ในระดับสูง