

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลกกล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ โดยใช้ชื่อย่อ ‘STGT’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ คาดว่าจะได้รับความสนใจเช่นเดียวกับการเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงก่อนหน้านี้ ที่มีนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันตอบรับการจองซื้ออย่างคึกคัก
ทางด้าน อัพน้อย – Security Analysis ได้โพสต์เฟสบุ๊ก สรุป 12 ข้อ หุ้น STGT ก่อนเข้าเทรดวันที่ 2 ก.ค. นี้
1. STGT เป็นบริษัทอันดับ 3 ของโลก ในด้านกำลังการผลิตของผู้ผลิตถุงมือยาง (อันดับ 1,2,4,5 เป็นบริษัทในประเทศมาเลเซียทั้งหมด) โดยทุกบริษัทที่ผลิตถุงมือยางทั่วโลกช่วงนี้เร่งขยายกำลังการผลิตกันแทบทั้งหมด
2. โครงสร้างรายได้มาจาก
– ถุงมือยางธรรมชาติชนิดมีแป้ง 36.4%
– ถุงมือยางธรรมชาติชนิดไม่มีแป้ง 28.3%
– ถุงมือยางไนไตรล์ 35.2%
– OEM 86%, Own-Brand 14%
– เน้นขายตลาดกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งเริ่มใช้ถุงมือ
3. อุตสาหกรรมถุงมือยางปกติโตประมาณ 8-10% ต่อปี แต่เนื่องจากเหตุการณ์ COVID-19 หลังจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะโตมากกว่าปีละ 12% เพราะว่าปกติลูกค้าที่ใช้ถุงมือยางส่วนใหญ่จะเป็นพวกอุตสาหกรรมการแพทย์ แต่เดี๋ยวนี้คนทั่วไปก็มีความต้องการใช้ถุงมือยางเพื่อป้องกันตัวเอง และถึงแม้ว่า COVID-19 จะจบไปแล้วก็ยังคงจะมี Demand ต่อเนื่อง
4. ระยะเวลาในการสร้างโรงงานถุงมือยางใช้เวลาประมาณ 1 ปี และหลังจากนั้นถ้าจะส่งถุงมือยางไปขายที่ประเทศไหน ก็ต้องส่งถุงมือยางไปให้เค้าตรวจสอบเพื่อขอใบอนุญาต ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ดังนั้นในช่วง 2-3 ปีนี้น่าจะยังไม่มีคู่แข่งใหม่
5. Demand ช่วงนี้เยอะมาก ขนาดที่ถ้าสั่งถุงมือยางตอนนี้จะได้ของในไตรมาสที่ 4 แต่ถ้าต้องการของเลย ก็จะต้อง Bid ซึ่งราคาก็จะแพงกว่าปกติประมาณ 2-3 เท่า
6. ต้นทุนหลักๆมาจากวัตถุดิบคิดเป็นประมาณ 50% คือน้ำยางข้นและน้ำยางสังเคราะห์ เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ โดยน้ำยางข้นซึ่งใช้ผลิตถุงมือยางธรรมชาติรับมาจากบริษัทแม่ STA ทั้งหมด และน้ำยางสังเคราะห์ซึ่งใช้ผลิตถุงมือยางไนไตรล์นำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งหมด
7. กำลังการผลิตในปี 2020 ของ STGT คือวันละ 80 ล้านชิ้น ปีละ 33,000 ล้านชิ้น
โดยอันดับ 1 ของโลกมีกำลังการผลิตปีละ 82,000 ล้านชิ้นต่อปี
และอันดับที่สองมีกำลังการผลิตปีละ 38,000 ล้านชิ้นต่อปี
8. ค่าเงินบาทแข็งค่าจะมีผลกระทบทำให้ GPM ลดลง เนื่องจากมีรายได้จากการส่งออก 88% เป็นสกุลเงินดอลล่าห์สหรัฐ โดยต้องเทียบกับสกุลเงินริงกิตมาเลเซีย เนื่องจากคู่แข่งหลักๆอยู่ที่นั่นกันหมด (เงินบาทแข็งหรืออ่อน 1% จะมีผลกับ NPM ประมาณ 1%)
9. ปีที่แล้ว STGT ขายถุงมือยางไป 20,000 ล้านชิ้น ปีนี้คาดว่าจะขายได้ 28,000 – 29,000 ล้านชิ้น
10. บริษัทต้องใช้กำลังการผลิตประมาณ 85%-88% ถึงจะคุ้มทุน และ ณ ตอนนี้บริษัทใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 95%
11. บริษัทต้องการเงินจากการระดมทุนที่น่าจะได้ 14,000 – 15,000 ล้าน ส่วนใหญ่เพื่อนำไปขยายกำลังการผลิต และชำระหนี้คืนบางส่วนเป็นจำนวนเงินประมาณ 2,000 ล้าน
12. ช่วงนี้บริษัทสามารถปรับราคาสินค้าขึ้นได้ 3-5% ต่อเดือน
ปล. ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมดจากรายการ Money Chat Thailand และ ถามอีก กับอิก TAM-EIG ครับ