“สรรพากร” ออกมาตรการเอื้อสิทธิประโยชน์ทางภาษีหนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม



  • ยกเว้นภาษีเงินได้ให้วิสาหกิจเพื่อสังคม
  • หวังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

วันที่ 28 พ.ค.2564 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริม และสนับสนุนกิจการวิสาหกิจเพื่อสังคม ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและขยายตัวมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนและสังคม จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)​เห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม) เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2564 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้

1.ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปันกำไรตั้งแต่วันที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ

2.สิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม

2.1กรณีบุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนเงินลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อจัดตั้งหรือเพิ่มทุนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมและได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ไม่เกิน 100,000 บาทสำหรับปีภาษี ทั้งนี้ ผู้ใช้สิทธิต้องถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นเลิกกิจการเว้นแต่กรณีที่กำหนด

2.2 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

สามารถหักรายจ่ายเงินลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อจัดตั้งหรือเพิ่มทุนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมและได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามจริง ทั้งนี้ ผู้ใช้สิทธิต้องถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นเลิกกิจการเว้นแต่กรณีที่กำหนดสามารถหักรายจ่ายเงินหรือทรัพย์สินที่โอนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมโดยไม่มีค่าตอบแทนผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ

3.สิทธิประโยชน์สำหรับผู้บริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

3.1 กรณีบุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม2566 เท่าที่บริจาคแต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อน

3.2 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถหักรายจ่ายการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เท่าที่บริจาคแต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้วต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ

4.ยกเว้นภาษีสำหรับการโอนทรัพย์สินการขายสินค้าหรือการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินตามข้อ 2 หรือการบริจาคตามข้อ 3 โดยต้องไม่นำต้นทุนมาหักเป็นค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

5.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามข้อ 1 ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ใช้ทรัพย์สินในกิจการหรือเพื่อกิจการเท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่ใช้ในกิจการเว้นแต่ตามที่กำหนด ไม่เป็นคู่สัญญากับผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนและไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนใดๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน รวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์ เว้นแต่กรณีที่กำหนด รวมทั้งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นที่กำหนด

6.ให้วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ประสงค์จะใช้สิทธิจดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมภายในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม สำหรับวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมก่อนพระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้จดแจ้งภายในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับการจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมหรือภายใน 180 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอธิบดีกรมสรรพากรจะขยายกำหนดเวลาออกไปก็ได้

7.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับอนุมัติให้เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามพระราชกฤษฎีกาฯ ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกานี้ รวมทั้งผู้สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคมก็ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นกัน

ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด

นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า การปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการวิสาหกิจเพื่อสังคมและบุคคลที่ให้การสนับสนุนนั้น เป็นการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยให้กิจการวิสาหกิจเพื่อสังคมมีโอกาสขยายตัวมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งช่วยสนับสนุนให้กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเป็นกลไกสำคัญในการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคม

รวมทั้งประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคมหรือสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศให้ยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร.1161