

- เกมคู่ชิงบอลโลกสุดมันส์…ได้ลุ้นทุกนาที เสมอในเวลา 120 นาที 3-3
- ครึ่งแรกทัพฟ้า-ขาว บุกหนักกดฝรั่งเศสไป 2-0
- ช่วงครึ่งเวลาหลัง ทัพตราไก่ฮึดสู้ ไล่ตามอย่างรวดเร็วจี้มาเป็น 2-2 ได้สำเร็จ
- เกมดำเนินไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ทั้ง 2 ทีมต่างได้เพิ่มมาคนละประตูผลจบที่ 3-3
- บีบหัวใจแฟนบอลต่อที่ดวลจุดโทษ ผลคือทัพฟ้า-ขาว สุดนิ่งลูกโทษชนะผล 4-2 ทำทัพตราไก่ชวดแชมป์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบชิงชนะเลิศ ประจำวันอาทิตย์ที่ 18 ธ.ค. 2565 ที่สนาม ลูซาอิลสเตเดี้ยม ระหว่าง อาร์เจนตินา พบ ฝรั่งเศส
โดยในช่วงครึ่งแรกเปิดฉากมาได้ 5 นาที เป็น อาร์เจนตินา ได้ทักทายก่อนจากลูกยิงไกลของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ บอลพุ่งไปตรงตัว อูโก้ โยริส รับเข้าซองสบายๆ

โดยหลังจากนั้น ยังเป็น ทีมอาร์เจนตินา ที่เปิดฉากบุกใส่อยู่ฝ่ายเดียว นาที 17 โรดรีโก้ เดอ ปอล เติมเกมขึ้นมาทางขวาแล้วจ่ายมาที่หน้าเขตโทษให้ อังเคล ดิ มาเรีย ได้ตั้งป้อมกดคนเดียวโล่งๆ ยิงบอลข้ามคานออกไป
กระทั่งมานาทีที่ 22 อังเคล ดิ มาเรีย ลากบอลเข้าเขตโทษก่อนจะโดน อุสมาน เดมเบเล่ เตะล้มลง โดยผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษให้อาร์เจนตินาทันที ก่อนจะเป็น ลิโอเนล เมสซี่ รับหน้าที่สังหาร ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย ทำให้ทัพฟ้าขาวขึ้นนำทันที 1-0

จากนั้นต่อมาในนาทีที่ 36 ทัพนักเตะอาร์เจนตินา ออกทิ้งห่างเป็น 2-0 จากจังหวะสวนกลับเร็ว เมสซี่ จ่ายบอลจากกลางสนามไปฝั่งขวาให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ หลุดขึ้นมาก่อนจ่ายถวายพานไปเสาไกลให้ ดิ มาเรีย หลุดเดี่ยวมาซัดเต็มข้อ สวนตัว อูโก้ โยริส เข้าไปแบบง่ายๆ
นอกจากนี้ ช่วงท้ายครึ่งแรก ในนาที 41 ฝรั่งเศส แก้เกมเร็วส่งสองตัวสำรองอย่าง มาร์คัส ตูราม และ โคโล่ มูอานี่ ลงมาเล่นแทน อุสมาน เดมเบเล่ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ อีกด้วย โดยช่วงเวลาที่เหลือยังเป็น ทีมอาร์เจนตินา ที่คุมเกมได้เด็ดขาด และจบครึ่งแรกนำ ฝรั่งเศส 2-0

จากนั้นพอมาถึงครึ่งหลังของการชิงชัย นาที 59 อาร์เจนตินา ได้ลุ้นประตูที่ 3 จากจังหวะที่ ดิ มาเรีย แทงทะลุช่องให้ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ หลุดมากดด้วยซ้ายในกรอบแต่ อูโก้ โยริส ปฏิเสธการทำประตูของ อัลวาเรซ โดยยังปิดมุมได้ดี
จากนั้นนาทีที่ 68 ฝรั่งเศส ได้ลุ้นจบสกอร์หนแรกในเกมนี้ จากจังหวะเตะมุมทางฝั่งซ้ายบอลลอยมาเข้าหัว โคโล่ มูอานี่ขึ้นโหม่งแต่ไม่ตรงกรอบ โดยฝรั่งเศส เริ่มมีโอกาสบุกมากขึ้น นาทีที่ 71 คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ ลากบอลมากดด้วยเท้าขวาเต็มข้อหน้าเขตโทษ แต่บอลเหินข้ามคานออกไป

กระทั่งนาทีที่ 80 นิโคลัส โอตาเมนดี้ เข้าสะกัดบอล โดยไปกระแทกใส่ โคโล่ มูอานี่ ล้มในเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้จุดโทษให้ทัพฝรั่งเศสทันที โดยคีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ รับหน้าที่ยิงเข้าไปไม่เหลือ ส่งผลให้ทัพตราไก่ ไล่ตีไข่แตกมาเป็น 1-2
เกมเริ่มสนุกและลุ้นเข้าไปอีก เมื่อนาทีถัดมามีดราม่าคู่ชิงฟุตบอลโลก 2022 เกิดขึ้น เมื่อทัพฝรั่งเศส ไล่ตีเสมอเป็น 2-2 จากจังหวะที่ มาร์คัส ตูราม แตะบอลจังหวะเดียวต่อให้ เอ็มบั๊ปเป้ หลุดเดี่ยวเข้าไปตวัดยิงด้วยเท้าขวา ส่งบอลเสียบเสาไกลเข้าไปแบบงดงาม

จากนั้นช่วงทดเวลานาทีที่ 90+7 อาร์เจนตินา เกือบแซงนำอีกครั้งจาก ลิโอเนล เมสซี่ ลากบอลมาปั่นด้วยซ้ายหน้ากรอบไปติดเซฟของ อูโก้ โยริส ปัดทิ้งออกหลัง โดยเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ จบ 90 นาที อาร์เจนตินาเสมอ ฝรั่งเศสที่ผล 2-2 ต้องไปลุ้นกันต่ออีก 120 นาที

โดยนาที 105+1 อาร์เจนตินา ได้โอกาสทองจะขึ้นนำอีกหนเมื่อ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ เกี่ยวบอลได้ในเขตโทษหลุดเดี่ยวมายิงจ่อๆ แต่บอลไปเข้าข้างตาข่าย ต่อเนื่องที่นาที 107 เมสซี่ ได้โอกาสวอลเลย์ด้วยซ้ายในเขตโทษบอลลอดขายุสซุฟ โฟฟาน่า อูโก้ โยริส ต้องออกแรงเซฟอีกหน

จนกระทั่งนาทีที่ 109 อาร์เจนตินา ได้ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 3-2 จากเลาตาโร่ มาร์ติเนซ หลุดเดี่ยวมายิงยัดเสาแรกไปติดเซฟ โยริส แต่ปัดไปเข้าทางปืนของ เมสซี่ ตามซ้ำส่งบอลข้ามเส้นไปเป็นที่เรียบร้อย แม้จะถูกแนวรับ ฝรั่งเศส สกัดทิ้งออกมา แต่บอลผ่านเส้นประตูเข้าไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เกมนี้ก็ยังไม่จบแค่นี้ เมื่อนาทีที่ 117 เอ็มบั๊ปเป้ ยิงไปโดนแขน เลอันโดร ปาเรเดส โดยผู้ตัดสินเป่าให้จุดโทษฝรั่งเศสทันที และเป็น เอ็มบั๊ปเป้ คนเดิมรับบทสังหารเข้าไปอีครั้ง พาทีมตราไก่ ตีเสมออีกครั้งเป็น 3-3 และจบ120 นาที ไปด้วยสกอร์ 3-3 ต้องไปลุ้นกันยาว ต่อในการดวลจุดโทษ

และก็เป็นทัพนักเตะอาร์เจนติน่า ที่สุดนิ่งยิงได้แม่นยำกว่าเอาชนะฝรั่งเศสไปได้ 4-2 คว้าแชมป์เวิล์ด คัพ 2022 ไปครองเป็นสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ต่อจากปี 1978 และ 1986




