สภาฯ ตีตกผลการศึกษาการขุดคลองไทย มติ 144 ต่อ 121 เสียง “ชลน่าน” เดือด! ลั่นไม่มีสิทธิ์โหวตเห็นชอบรายงาน โหวตได้แค่ข้อสังเกต



วันนี้ (4 ก.พ.65) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทย และการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว และค้างลงมติต่อจากเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา ภายหลังที่ ส.ส.อภิปรายเรียบร้อย

ทั้งนี้ นายศุภชัย แจ้งว่า เนื่องจากรายงานดังกล่าวมีสมาชิกอภิปรายทั้งสนับสนุนและคัดค้านรายงาน จึงต้องออกเสียงลงคะแนนเพื่อขอมติจากที่ประชุมว่า จะเห็นด้วยกับรายงานของคณะกมธ.หรือไม่ จากนั้นได้ให้ที่ประชุมลงมติ ผลปรากฎว่า ที่ประชุมมีมติไม่เห็นด้วยกับรายงานของ กมธ. ด้วยเสียง 144 ต่อ 121 งดออกเสียง 53 เสียง ซึ่งถือว่ารายงานดังกล่าวต้องตกไป ทั้งนี้เมื่อมติที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับรายงานของคณะ กมธ.จึงไม่ต้องโหวตข้อสังเกตต่อไป

จากนั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ลุกขึ้นท้วงติงว่าในการพิจารณารายงานของ กมธ.ฯ จากผลการลงมติรู้สึกตกใจ เพราะเกรงว่าจะเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมสภาฯ ซึ่งการรายงานของ กมธ.ฯ มีการเขียนไว้ชัดเจนในข้อบังคับ ข้อที่ 104 และ 105 การที่ประธานฯถามสมาชิกว่า จะเห็นชอบกับรายงานนั้นหรือไม่ การถามแบบนี้มีประเด็นแน่นอน เพราะความเห็นต่างของสมาชิกมีมาก มติจึงออกมาไม่เห็นชอบ หากยึดบรรทัดฐานนี้ กมธ.ฯ ที่ได้ไปศึกษาตามญัตติที่ได้เสนอมาในสภาฯ จะไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติเลย รวมทั้งทำให้สูญเสียงบประมาณและเวลา เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ ซึ่งในข้อบังคับไม่อนุญาตให้สภาฯ มีมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เนื่องจากเป็นรายงานการศึกษา แต่สิ่งที่ข้อบังคับเขียนไว้ชัดเจนคือ ให้ที่ประชุมให้ความเห็นชอบหรือไม่ข้อสังเกตของกมธ.ฯ ที่แนบท้ายรายงานเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ

“สภาฯ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะชี้ว่า จะสร้างคลองไทย หรือไม่สร้างคลองไทย ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปชี้ว่าเรื่องของเทคโนโลยี 5จี จะเอาอย่างไร มันไม่ใช่แบบนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติต้องไม่ก้าวล่วงฝ่ายบริหาร เขาจึงใช้เป็นข้อสังเกต ท่านต้องโหวตเฉพาะข้อสังเกตเท่านั้น ส่วนรายงานเมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว สามารถนำไปประกอบการพิจารณา รัฐบาลจะเอาไปใช้ก็ได้ ดังนั้นขอฝากประะธานสภาฯ ช่วยพิจารณา เพราะหากเรื่องเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็ก เข้ามา หากทั้งสภาฯไม่เห็นด้วยที่ศึกษามาก็เท่ากับเปล่าประโยชน์” นพ.ชลน่าน กล่าว

จากนั้น นายศุภชัย ได้ชี้แจงว่า แนวทางปฏิบัติของสภาฯ เมื่อมีการศึกษาของกมธ.ฯ และนำผลการศึกษาเข้าสู่ที่ประชุม ตามแนวปฏิบัติที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ถือปฏิบัติมา ก็จะมีการถามมติ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกจะเป็นการถามว่าสมาชิกเห็นด้วยกับรายงานที่ กมธ.ศึกษามาหรือไม่ และหากไม่เห็นด้วยก็จะไม่โหวตข้อสังเกต ซึ่งเป็นแนวทางที่ปฏิบัติกันมา และหากผู้นำฝ่ายค้านติดใจก็สามารถนำไปปรึกษากันได้ แต่ตอนนี้ผ่านไปแล้ว และเข้าสู่ระเบียบวาระใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ประท้วงว่า เมื่อได้สร้างมาตรฐานใหม่ สภาฯ วันนี้ (4 ก.พ.) ที่ต้องพิจารณารายงานของ กมธ. 20 ฉบับ หากฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย  ต้องโหวตทุกฉบับจะอยู่ได้หรือไม่

“ประธานอย่าออกห้องประชุมนะครับ เมื่อสภาฯไปไม่ได้ อย่าไป ผมไม่เห็นด้วยและคัดค้านที่ต้องโหวต และจะนับองค์ประชุมด้วย ผมอยากให้พิจารณาใหม่” นายพิเชษฐ์ กล่าว

ต่อมานายศุภชัย ชี้แจงว่า หากจะใช้สิทธิสามารถทำได้ แต่เหตุผลต้องโหวตเพราะการอภิปรายมีความเห็นหลากหลาย ที่ผ่านมาที่ไม่เคยโหวต เพราะการอภิปรายเป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงใช้ข้อบังคับ ข้อที่ 88 ไม่โหวต เพราะถือว่าสภาฯ เห็นด้วย เมื่อมติที่ประชุมเป็นแบบนี้ก็ขอจบ และขอให้พิจารณาในระเบียบวาระต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับการทำงานของ กมธ. คณะดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่สภาฯ ได้ลงมติเห็นด้วยกับญัตติที่ส.ส.เสนอเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2563 โดยใช้เวลาศึกษา ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 2563 ถึง 24 ก.ค. 2564  รวมเวลา 555 วัน ทั้งนี้ พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังชาติไทย ฐานะประธานกมธ. ได้เสียชีวิต เมื่อ 26 ต.ค. 2564 ทำให้ต้องเปลี่ยนตัวประธานกมธ.ฯ เป็นนายพิเชษฐ์ แทน