สนพ. เผยสถานการณ์พลังงานและแนวโน้มปี 65 พร้อมโชว์ความก้าวหน้าการส่งเสริมยานยนต์ EV ของไทย



  • เผยช่วงไตรมาสแรกปีนี้ การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น 9.2% เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัว
  • คาดความต้องการพลังงานปี 65 อยู่ที่ระดับ 2.034 ล้านบาร์เรลต่อวันเทียบเท่าน้ำมันดิบ
  • ด้าน สศอ. ชี้เตรียมเสนอมาตรการส่งเสริมเพิ่ม ทั้งสนับสนุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้า
  • มาตรการสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)  กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าสถานการณ์พลังงานไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นสุดท้าย เพิ่มขึ้น 9.2% เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัว รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการใช้ลิกไนต์ในภาคอุตสาหกรรม 

ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นปรับตัวลดลง 0.8% จากการใช้ LNG ที่ลดลงในภาคการผลิตไฟฟ้าอย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ครั้งที่แล้ว (ธ.ค. 2564) ครั้งนี้ได้มีการปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจลงเนื่องจากภาวการณ์ขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญลดลงและราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงจากสถานการณ์
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ

โดยการคาดการณ์ความต้องการพลังงานขั้นต้น ปี 2565 อยู่ที่ระดับ 2.034 ล้านบาร์เรลต่อวันเทียบเท่าน้ำมันดิบหรือเพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบกับปี 2564 ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวประกอบกับนโยบายเปิดประเทศของไทยและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภท ยกเว้นก๊าซธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากราคาตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย – ยูเครน โดยการใช้น้ำมัน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น12.9% จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดส่งผลให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมเข้าสู่ภาวะปกติ 

นายวัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า การใช้ก๊าซธรรมชาติ คาดว่าจะลดลง 9.5% เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จึงมีการใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้า เพื่อทดแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติ โดยรัฐบาลได้มีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลที่ใช้ผลิตไฟฟ้าเหลือศูนย์จนถึง
วันที่ 15 ก.ย. 2565 เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ 

อย่างไรก็ตามในส่วนของก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ได้มีมาตรการตรึงราคาขายปลีกอยู่ที่ 15.59 บาท/กิโลกรัม (เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ย. 2564 ถึง 15 มิ.ย. 2565) รวมถึงมีมาตรการ “เอ็นจีวีเพื่อลมหายใจเดียวกัน” คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ 13.62 บาท/กิโลกรัม สำหรับการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.8% จากการใช้ถ่านหินนำเข้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้ในภาคอุตสาหกรรม ส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8.2% ตามปริมาณน้ำฝนและ  น้ำในเขื่อนที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งการนำเข้าไฟฟ้าจาก สปป.ลาว

นอกจากนี้ นายวัฒนพงษ์ ยังกล่าวในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมกับ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ยังได้รายงานผลการดำเนินงานเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยว่า ที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV ชาติ) ซึ่งมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เป็นประธาน เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย 30@30 คือการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573 เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก และเป็นกลไกสำคัญในการก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 

ดังนั้น ภาครัฐจึงได้ออกมาตรการสนับสนุนเพื่อส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี เพื่อให้ราคายานยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาป (ICE) พร้อมทั้งกระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการส่งเสริมการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) ในพื้นที่สาธารณะให้เพียงพอกับยานยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบันมีสถานีอัดประจุไฟฟ้าจำนวน 944 แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มีนาคม 2565) สำหรับยอดจำนวนจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าถึงเดือนเมษายน ปี 2565 สะสมรวมทั้งสิ้น 5,614 คัน

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอมาตรการส่งเสริมเพิ่มเติมได้แก่ (1) มาตรการสนับสนุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ในเรื่องอัตราค่าไฟฟ้า Low Priority สำหรับผู้ประกอบการสถานีอัดประจุไฟฟ้าต่อเนื่อง ซึ่งที่ประชุมบอร์ด EV ชาติ เห็นชอบการขยายอัตราค่าไฟฟ้าถึงปี พ.ศ. 2568 รวมถึงด้านสิทธิและประโยชน์สำหรับกิจการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า และได้มอบหมาย BOI พิจารณา ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้มีการจัดทำ Platform กลาง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงมาตรการและวิธีการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่กลุ่มผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด คอนโดมิเนียม (2) มาตรการสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนและการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ที่ประชุมมอบหมายให้ BOI และกรมสรรพสามิตพิจารณา

“โดยในขณะนี้ อยู่ระหว่างเตรียมเสนอมาตรการส่งเสริมเพิ่มเติมได้แก่ มาตรการสนับสนุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และมาตรการสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 
ทั้งด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนและการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต” นายวัฒนพงษ์ กล่าว