“สนพ.” เกาะติดราคาน้ำมันโลกใกล้ชิด



  • เหตุตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน
  • “กบน.”10 ม.ค.เคาะแนวทางบริหารจัดการน้ำมันรับมือ
  • วางกรอบดูแลไม่ให้น้ำมันดีเซล(บี10)ไม่ให้มีราคาเกิน 30 บาทต่อลิตร

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เปิดเผยว่า สนพ.ได้ติดตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกอย่างใกล้ชิด จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน ที่ส่งผลให้น้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้นถึง 6% จากเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 65.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลไป เป็น 69.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบดูไบ ปรับเพิ่มขึ้นทันที 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลภายใน 1 สัปดาห์นี้

“สนพ.พร้อมที่จะใช้กลไกกองทุนน้ำมัน มาดูแลโดยมีเป้าหมายไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล(บี10)มีราคาเกินระดับ 30 บาทต่อลิตร เพื่อดูแลผลกระทบต่อประชาชน เนื่องจากน้ำมันดีเซลเป็นน้ำมัน ที่ใช้จำนวนมากต่อวัน ถือเป็นเส้นเลือดทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.)จะมีการหารือในเรื่องดังกล่าววันที่10 ม.ค.นี้ “

ทั้งนี้ รัฐบาลจะ มีมาตรการต่างๆออกมาเพื่อรองรับปัญหาราคาน้ำมันตลาดโลกดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง ทั้งการดูแลไม่ให้ขาดแคลนและไม่ให้ราคาขายปลีกสูงขึ้นผิดปกติจนกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยจะต้องมาพิจารณามาตรการเพื่อดูแล โดยใช้กรอบราคาน้ำมันดิบดูไบ ว่าหากขยับไปถึงระดับ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะกระทบให้ราคาดีเซบบี 10 มีราคาสูงเกินระดับ 30บาท/ลิตรหากเป็นเช่นนั้นจริง ภาครัฐก็ต้องเข้ามาดูแลผ่านกลไกกองทุนน้ำมัน

สำหรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) ขณะนี้ยอมรับว่าราคาตลาดโลกได้ปรับขึ้นสูงมากล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 530 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปรับขึ้นจากช่วงปลายปี2562 ที่ราคาอยู่ที่ 300 เหรียญฯต่อตันเนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาวของสหภาพยุโรป(อียู) และสหรัฐฯที่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็ยังคงดูแลแอลพีจีถังขนาด 15 กิโลกรัม(กก.)ไม่เกิน 353 บาทต่อถังขนาด15กิโลกรัม โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันตามมติเดิมที่กำหนดไว้ในกรอบวงเงินดูแลไม่เกิน 7,000 ล้านบาทซึ่งขณะนี้ใช้วงเงินรวมไปแล้ว 5,200 ล้านบาท