- หลายสินค้าโดดเด่นทั้งข้าว ไก่ ผลไม้ เครื่องประดับ
- อานิสงส์ฟื้นฟูสัมพันธ์ซาอุ-ผู้บริโภคกำลังซื้อสูง
- ผลิตสินค้าตรงความต้องการ-พัฒนาคุณภาพหนีคู่แข่ง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์สินค้าไทยที่มีโอกาสส่งออกไป 3 ประเทศในตะวันออกกลาง ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย ตุรกี และกาตาร์ โดยนำข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเชิงลึกจาก Global Demand Dashboard ในเว็บไซต์ คิดค้า.com มาวิเคราะห์ พบว่า สินค้าไทยมีโอกาสส่งออกได้อีกมากหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต โดยสินค้าที่ไทยครองตลาดอันดับ 1 เช่น ผลไม้กระป๋อง ไฟเบอร์บอร์ด เป็นต้น ส่วนสินค้าดาวรุ่งที่มีแนวโน้มดี และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เช่น อาหารทะเลแปรรูป และถุงมือยาง
แต่สนค.แนะนำให้บุกตลาดเพิ่มขึ้นในสินค้าข้าว ไก่ และผลไม้ เพราะไทยมีศักยภาพสูง และยังมีส่วนแบ่งในตลาดน้อย สำหรับปี 65 มูลค่าการนำเข้าจากไทยโดยรวม อยู่ที่ 2,827 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 24.8% เทียบกับปี 64 ที่มีมูลค่า 2,265 ล้านเหรียญฯ ทำให้ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 16 ของซาอุ มีส่วนแบ่งตลาด 1.5%
สำหรับตลาดตุรกี เป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะเป็นฐานกระจายสินค้าไปยังยุโรป จึงต้องการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตและกระจายสินค้าต่อ โดยมีสินค้าที่ไทยครองอันดับ 1 เช่น ผลไม้กระป๋อง ยางพารา เป็นต้น และมีสินค้าดาวรุ่งที่มีแนวโน้มดี และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง แต่ สนค. พบว่า ยางยานพาหนะ เครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง มีโอกาสการค้าเพิ่มเติม เพราะไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกสูง แต่มีส่วนแบ่งตลาดต่ำ ทั้งนี้ ปี 65 นำเข้าจากไทย 1,929 ล้านเหรียญฯ ขยายตัว 17.4% เทียบปี 64 ที่มีมูลค่า 1,643 ล้านเหรียญฯ ทำให้ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 36 มีส่วนแบ่งตลาด 0.5%
ขณะที่ตลาดกาตาร์ ที่กำลังซื้อสูงและพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากนั้น มีสินค้าไทยที่ครองแชมป์อันดับ 1 คือ อาหารทะเลกระป๋อง แต่ สนค. แนะนำให้บุกตลาดไก่ และเครื่องประดับให้มากขึ้น เพราะไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนี้น้อย โดยปี 65 การตาร์นำเข้าจากไทยโดยรวม 398 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 13.8% จากปี 64 ที่มีมูลค่า 350 ล้านเหรียญฯ ทำให้ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 20 มีส่วนแบ่งตลาดที่ 1.2%
“ตะวันออกกลางน่าสนใจ เพราะผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง และพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก สินค้าที่ไทยมีศักยภาพที่เจาะตลาดเพิ่มเติม คือ ไก่ และเครื่องประดับ แต่ความท้าทายอยู่ที่ ไทยต้องชิงส่วนแบ่งจากแชมป์ตลาดเดิมให้ได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรปรับสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ชูจุดแข็งเรื่องคุณภาพ และมีมาตรฐานฮาลาลในระดับสากล”
