

- หลายจังหวัดได้ฉีดวัคซีนไปกว่า 90-100%
- “กทม” รั้งท้ายได้ฉีดวัคซีนแค่ 19%
วันที่ 19 มีนาคม 2564 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินการกระจายและฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า วันนี้ที่ประชุมศบค.ได้รับทราบการรายงานของผอ.ศปก.สธ. คือนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มารายงานแผนเรื่องแผนการกระจายวัคซีนให้กับศบค.ได้รับทราบว่า
ระยะที่ 1 คือ วันที่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน 2564 จะมีวัคซีนซิโนแวค(Sinovac) มา 2 ล้านโดส และช่วงระยะที่ 2 วันที่ 1 กรกฏาคม – 30 กันยายน 2564 จะมีวัคซีนโควิด“แอสตร้าเซนเนก้า”มาอีก 26 ล้านโดส และ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป อีก 35 ล้านโดส

สำหรับใน 2 ระยะ แบ่งเป็นระยะที่ 1 เมื่อวัคซีนมีปริมาณจำกัด มี 4 กลุ่มเป้าหมาย คือ 1. กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 2.บุคคลที่มีมีโรคประจำตัว เช่นดรคทางเดินหายใจ โรคเบาหวาน ดรคอ้วน 3.ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 4.เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วย

ระยะที่ 2 เมื่อมีวัคซีนมากขึ้น และเพียงพอ แบ่งเป็น 1.กลุ่มเป้าหมายระยะที่หนึ่ง 2.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆที่นอกเหนือจากด่านหน้า 3. ผู้ประกอบอาชีพภาคการท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม สถานบันเทิง มัคคุเทศก์ นักกีฬา 4.ผู้เดินทางระหว่างประเทศ เช่น นักบิน/ลูกเรือ นักธุรกิจระหว่างประเทศ 5.ประชาชนทั่วไป 6.นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ นักธุรกิจต่างชาติ คนต่างชาติพำนักระยะยาว 7.แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการและกลุ่มอื่นๆที่มีความจำเป็น(ตามตาราง)

“ข้อ 5 สำหรับประชาชนทั่วไป ท่านนายกรัฐมนตรีได้ให้ที่ประชุมได้พูดคุยกัน คำว่าประชาชนทั่วไปคืออะไรบ้าง บางทีก็เข้าใจหรือตีความแตกต่างกันไป แต่ท่านก็ให้แนวคิดคิดมา บางทีก็แรงงาน การไปใช้แรงงานในต่างประเทศได้ไหม ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นักธุรกิจ นักการทูต อยู่ในนี้ด้วยไหม”
และที่สำคัญภาคของประชาชน ผู้ที่มีรายได้น้อย เขาหาเช้ากินค่ำ ต้องคิดถึงเขาด้วย รวมถึงภาคราชการ ผู้บริหารที่ต้องเดินทางไปตรวจราชการ พบปะประชาชน หรือภาคเศรษฐกิจ รวมถึงกลุ่มของพระ ผู้นำศาสนา ซึ่งได้ให้แนวคิดไปกำหนดขึ้นมาเป็นกลุ่มย่อยๆด้วย

สำหรับแผนการฉีดวัคซีนในเดือนเมษายนนี้มีอีก 800, 000 โดส จะมีการนำเข้ามาในวันพรุ่งนี้ (20 มีนาคม 2564 ) จะกระจายไปที่ 18 จังหวัด ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและมีความสำคัญในการควบคุมโรค ได้แก่ สมุทรสาคร กทม. ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ (ตามตาราง)

รวมระยะแรกเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2564 จำนวน 2 ล้านโดส ใน 18 จังหวัด
ส่วนระยะที่ 2 เดือนมิถุนายน ถึงธันวาคม จำนวน 61 ล้านโดสในทุกจังหวัด

สำหรับสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานว่า ล่าสุดจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสะสม(28 กุมภาพันธ์-18 มีนาคม) รวม 62,941 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 3 หมื่นกว่าราย และประชาชนทั่วไปในพื้นที่เสี่ยงจำนวน 20, 000 กว่าราย

ทั้งนี้ หลายจังหวัดได้รับการฉีดวัคซีนไปกว่า 90-100% เรียบร้อยแล้ว แต่ในส่วนของ “กรุงเทพมหานคร” พบว่าจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนยังค่อนข้างต่ำ ซึ่งฉีดไปได้แค่ 19% เท่านั้น ซึ่งกทม.จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เดิมใช้หลักการของกลุ่มเสี่ยง ปรากฎว่าส่งไป 100 คน ได้มาสัก10คนเท่านั้นที่สมัครใจฉีด ซึ่งตอนนี้กำลังมีการปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่

นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของความกังวลในเรื่องของการฉีดวัคซีนเริ่มลดน้อยลง หลังจากที่มีความมั่นใจมากขึ้น ทั้งในภาพรวมของโลกและในประเทศไทยที่ผู้นำของเราก็ได้ฉีดวัคซีนให้เห็น และท่านก็ไม่มีอาการข้างเคียงอะไรเลย แต่บางคนก็อาจจะมีบ้างนิดหน่อย
สำหรับข้อกังวลเรื่องการวางแผนรณรงค์ฉีดวัคซีนจะทำได้ไหม นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า โรงพยาบาล 1,000 แห่ง 500 โดสต่อวัน คูณไป 20 วัน/เดือน หรือเฉลี่ยต่อเดือน เท่ากับ 10 ล้านโดส ซึ่งโรงพยาบาลไม่ใช่มีแค่ของสาธารณสุขอย่างเดียว ยังมีโรงพยาบาลทหาร โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ซึ่งทุกแห่งสามารถร่วมด้วยช่วยกันได้
“นอกจากนี้อาจไม่จำเป็นจะต้องมาฉีดในโรงพยาบาล ตอนนี้ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขบอกว่า ถ้าดูเรื่องของความมั่นใจมากขึ้น อาจจะขยายไปในพื้นที่อื่นๆที่มีการรองรับ เช่น การนำรถพยาบาล Emergency ไปอยู่ด้วย และฉีดในพื้นที่ที่มีคนจำนวนมากได้ “ นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวในตอนท้าย