

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้รายงานว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ โดยถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของปัจจัยในประเทศ ทั้งประเด็นทางการเมือง และสถานการณ์ของโควิด-19 รวมถึงแรงขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังสามารถฟื้นตัวขึ้นได้บางส่วน หลังรายงานการประชุม ธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟดไม่ได้สะท้อนว่า สหรัฐฯ จะมีโอกาสใช้ Yield Curve Control ในระยะใกล้ๆ นี้ โดยธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 31.20-31.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ในวันศุกร์ (21 ส.ค.) เงินบาทอยู่ที่ 31.55 (ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์) เทียบกับ 31.14 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (14 ส.ค.)
ด้านดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อน แม้ฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ1,299.26 จุด ลดลง 2.09% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 49,466.48 ล้านบาท ลดลง19.33% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.75% จากสัปดาห์ก่อน มาปิดที่ 302.33 จุด
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (24-28 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,280 และ 1,270 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,315 และ 1,335 จุด ตามลำดับ
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนก.ค. ของไทย ความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มเติม รวมถึงสุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ–จีน
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 2/63 ยอดขายบ้านใหม่และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. ของจีน