

- โชว์ผลงานยอดขายปี 65 พุ่งทะยานสูงถึง 32,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับปี 64
- พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนแผนธุรกิจปี 66 ลุยเปิดโครงการใหม่ทั่วประเทศ เน้นแนวราบ
- ตั้งเป้าพิชิตยอดขาย New High 36,000 ล้านบาท มุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมการออกแบบบ้านใหม่ ควบคู่การใส่ใจสังคม-สิ่งแวดล้อม
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 65 เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวมากขึ้นจากปี 64 เนื่องจากมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทย สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 65 เริ่มฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นธุรกิจ ด้วยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และมาตรการผ่อนคลาย LTV (อัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน) ทำให้เกิดการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค

นายประทีป กล่าวต่อว่า สำหรับปี 66 คาดว่า สภาพเศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง กำลังซื้อจากต่างชาติจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกทั้งมีการต่อมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 66 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% ของราคาประเมินหรือราคาขาย (มาตรการก่อนหน้าลดเหลือเพียง 0.01%) และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% จากยอดเงินกู้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้เป็นปีที่ดีแม้จะมีเรื่องภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับแผนในปีนี้ บริษัทฯ มีการขยายการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อเนื่อง โดยที่ต่างประเทศ ก็มีแผนขยายการลงทุนต่อเนื่องที่ประเทศออสเตรเลีย โดยจะเปิดโครงการเพิ่มที่เมลเบิร์น โดยได้มีการลงทุนไปแล้ว 12 โครงการ มูลค่าโครงการ 52,600 ล้านบาท ด้วยเม็ดเงินลงทุนรวมของศุภาลัย 9,748 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตเป็นที่น่าพึงพอใจ

นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนธุรกิจอื่นๆ อย่างเช่น Resort Housing ที่โครงการศุภาลัย ซีนิค เบย์ พูล วิลล่า ภูเก็ตRental Office ที่โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร, Serviced Condo ในหลายโครงการ Home Office ที่โครงการศุภาลัยแกรนด์ เอสเซ้นส์ @ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ Community Mall / Market ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ สนับสนุนการกระจายรายได้สู่ชุมชน และ Co-Working ชื่อว่า MEET & CO ตั้งอยู่ที่อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ เป็นต้น
นายประทีป กล่าวด้วยว่า ในปีนี้บริษัทฯ ยังจะเน้นด้านนวัตกรรมการออกแบบที่อยู่อาศัย โดยมีการสร้างสรรค์แบบบ้านซีรีส์ใหม่ อาทิ Romantic Charm และ Wellness Residence เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า รองรับไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 10 – 30 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นพร้อมลุยเปิดขายทั่วประเทศทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เจาะลูกค้าระดับบนมากขึ้น
ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเปิดตัวแบรนด์ เอเลแกนซ์ ได้แก่ ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 แบบบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์ ระดับลักซ์ชูรี่ ราคาเริ่มต้น 20 – 30 ล้านบาท ปักหมุดทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี และศุภาลัย เอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ในสไตล์ Modern Metro ราคาเริ่มต้น 17.99 ล้านบาท บนศักยภาพทำเลใจกลางเมืองถนนเทพรักษ์ ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก” นายประทีป กล่าว

ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 65 ที่ผ่านมา บริษัทฯทำผลงานได้ประสบความสำเร็จ เพราะสามารถพิชิตยอดขายรวมได้ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขยอดขายพุ่งทะยานสูงถึง 32,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 64 ที่ทำได้ 24,069 ล้านบาท
โดยเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียม 31 โครงการ มูลค่ารวม 37,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 โครงการ, ภูมิภาค 18 โครงการ) และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ(กรุงเทพฯ และปริมณฑล 2 โครงการ, ภูมิภาค 1 โครงการ) จากความสำเร็จด้านยอดขายมีผลอันเนื่องมาจากบริษัทฯ มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถเปิดตัวโครงการใหม่ในแต่ละจังหวัดโดยมีการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีสินค้ามีความหลากหลาย และตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับในปี 66 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 36,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 36,000 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 34 โครงการ มูลค่า 32,700 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 70% และคอนโดมิเนียม 30% ซึ่งยังคงเน้นเปิดตัวในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลักอยู่ อีกทั้งกำหนดงบประมาณจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ด้วยความมั่นคง และยั่งยืน เตรียมบุกหนักในโครงการภูมิภาคต่างๆ ในจังหวัดใหม่ๆที่มีทำเลศักยภาพและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันศุภาลัยพัฒนาโครงการครอบคลุม 28 จังหวัด โดยในปี 66 บริษัทฯ ลุยเสริมความแข็งแกร่งพัฒนาโครงการใหม่ใน 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ลำปาง ลำพูน นครปฐม ราชบุรี และจันทบุรี อีกด้วย
นายไตรเตชะ กล่าวด้วยว่า ในปี 65 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการในเรื่องยอดการปฏิเสธสินเชื่อให้ลดลงมาอยู่ที่ 11% โดยเมื่อปี 64 และ 63 ยอดอยู่ที่ 17% และ 22% ตามลำดับ โดยเหตุที่ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อลดลงเป็นผลจากการที่บริษัทฯ มีการคัดกรอกลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ มีการช่วยเหลือลูกค้าในการเตรียมความพร้อมเพื่อยื่นขอสินเชื่อ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในปี 66 บริษัทฯ ยังพร้อมจะขับเคลื่อนนวัตกรรม เพื่อการให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ เช่น Supalai Sabai แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ลูกบ้านศุภาลัยใช้ชีวิตในบ้านได้สบายยิ่งขึ้น ทั้งการจ่ายบิล แจ้งซ่อม มีสิทธิพิเศษหลากหลายอัพเดททุกข่าวสาร เป็นต้น Supalai Privilege คัดสรรสิทธิพิเศษใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกบ้าน มุ่งเน้นความสนุกสนานสะดวกสบายให้กับการใช้ชีวิตของลูกบ้าน และสามารถตกแต่ง ซ่อมแซม ที่อยู่อาศัยให้ใช้งานได้ยาวนาน รวมทั้งมอบสิทธิพิเศษเกี่ยวกับสุขภาพให้ลูกบ้าน เป็นต้น
Supalai Care เป็นบริการให้คำแนะนำลูกค้าสำหรับการใช้งานที่ถูกต้องในบ้านและคอนโดมิเนียม การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาทั้งในช่วงรับประกันและหลังหมดประกัน เป็นต้น
อีกทั้งผนึกพันธมิตรธุรกิจ เช่น เอสซีจี ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และติดตั้งโซลาร์รูฟในโครงการของศุภาลัยร่วมกับธนาคารกสิกรไทยในโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างต่อเนื่อง นำร่องโครงการแรกที่ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์รังสิต คลอง 2 ร่วมกับทรู ดิจิทัล ติดตั้ง Smart Residence 40 โครงการทั่วประเทศ และร่วมกับชาร์จ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า ติดตั้ง EV Charger เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าของศุภาลัย

ด้านนายกิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานก่อสร้างอาคารสูง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยมีส่วนร่วมในการใส่ใจดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมที่อยู่อาศัยสีเขียวบ้านและคอนโดมิเนียมศุภาลัย คัดสรรวัสดุการก่อสร้างเน้นประหยัดพลังงาน ลดความร้อน ลดการใช้น้ำ ลดขยะ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสานต่อโครงการ Waste Management ในกระบวนการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เช่น การเลือกใช้ท่อที่ตัดพอดีกับความยาวที่ใช้จริง การเปลี่ยนพาเลทไม้ที่ใช้ขนส่งอิฐมวลเบาให้เป็นพาเลทพลาสติกซึ่งทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น การกำหนดขนาดของลูกปูนในการทดสอบกำลังรับแรงอัดของคอนกรีตให้มีขนาดที่เหมาะสม แต่ยังคงประสิทธิภาพเดิมไว้ได้
ตลอดจนการนำเศษวัสดุเพื่อกลับมาใช้ใหม่อย่างเช่น สายรัดวัสดุก่อสร้างนำไปสานเป็นตะกร้า หรือเศษอิฐมวลเบานำไปทำเป็นกระถางต้นไม้ เพื่อลดปริมาณความสูญเสียของวัสดุก่อสร้าง และสามารถจัดการกับเศษวัสดุก่อสร้างให้เกิดมูลค่า และประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ยังการบริหารจัดการของเสียอย่างยั่งยืน โดยจัดวางถังขยะภายในโครงการก่อสร้าง ซึ่งมีอยู่ 9 ประเภทได้แก่ เศษกระดาษ กระป๋อง เศษโฟม ขวดแก้ว ขยะอันตราย ขยะเปียก ขยะติดเชื้อ ขยะพลาสติก และฝาขวดพลาสติกเพื่อคัดแยกขยะเหลือใช้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการก่อสร้าง เช่น ข้อต่อท่อระบายน้ำ 4 ทางเพื่อลดจำนวนข้อต่อท่อระบายน้ำเสียให้น้อยลง ลดระยะเวลาในการทำงาน ลดช่องท่องานระบบสุขาภิบาลให้เล็กลงและเพิ่มพื้นที่ภายในห้องน้ำของลูกค้าให้กว้างมากขึ้น
รวมถึงการพัฒนาระบบสีรองพื้นและสีทับหน้า Direct to Metal รูปแบบใหม่ ลดระยะเวลาในการทำงานมีประสิทธิภาพการกันสนิม และยังมีนวัตกรรมข้อต่อท่อระบบดับเพลิง เพื่อลดจำนวนข้อต่อท่อระบบดับเพลิง ลดการเชื่อม ลดระยะเวลาในการทำงาน ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้อย่างยั่งยืนเพื่อคืนธรรมชาติสู่สังคมนับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บริษัทฯให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องเช่นกัน