“ศักดิ์สยาม”เป็นปลื้ม!วิ่ง 120 กม.ต่อชม.เล็งเปิดอีก 14 เส้นทางทั่วไทย-พร้อมสั่ง “ทางหลวง-ขนส่งทางบก”สแกนถนนอีก863 กม. ปรับรับความเร็วสูงสุดใหม่

“ศักดิ์สยาม”ตามการบ้านวิ่ง 120 กม.ต่อชม.หลังพบเปิดใช้เส้นทางแรก บางปะอิน – อ่างทอง ประชาชนฝ่าฝืนใช้ความเร็วแต่ละช่องจราจรลดลง เล็งเปิดเฟสสอง 1 ก.ย.นี้ อีก 6 สายทาง ตามด้วยเฟสสามอีก 5 สายทางเปิด 1 ม.ค. 65 ส่วนเฟสสี่ตามมาติดๆ 1 เม.ย. 65 อีก 3 สายทาง พร้อมสั่ง “ทางหลวง-ขนส่งทางบก” ร่วมสแกนถนนอีก 863 กม. ที่ต้องเร่งซ่อมสร้าง เพื่อรับนโยบายปรับความเร็วสูงสุดใหม่ทั่วไทย

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าของนโยบายปรับเพิ่มอัตราความเร็วสูงสุดของรถยนต์บนถนนทางหลวงให้สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตร (กม.) ต่อชั่วโมง (ชม.)ว่า จากที่กรมทางหลวง ได้เปิดให้ประชาชนสามารถใช้ความเร็วที่กำหนดในเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ช่วง บางปะอิน – อ่างทอง ซึ่งเป็นเส้นทางแรก ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.64ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ขับขี่ได้มีการใช้ความเร็วตามความเร็วจำกัดในแต่ละช่องทางดีขึ้น โดยตรวจสอบจากสัดส่วนยานพาหนะที่วิ่งด้วยความเร็วที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดในแต่ละช่องทาง พบว่ามีการฝ่าฝืนการใช้ความเร็วในแต่ละช่องจราจรลดลง เทียบกับก่อนการบังคับใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. ทั้งนี้ กองบังคับการตำรวจทางหลวงได้รายงานว่า ในช่วงเส้นทางดังกล่าวมีการบังคับใช้กฎหมายและมีการออกใบสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ได้มีการกำหนดแผนที่จะเปิดเส้นทางที่อนุญาตให้ประชาชนผู้ขับขี่ใช้ความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กม./ชม. ในช่องทางขวาสุดเพิ่มเติมใน ระยะที่ 2 เพิ่มขึ้นรวมระยะทางทั้งสิ้น 246 กิโลเมตร ให้ใช้ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 เป็นต้นไป จำนวน 6 สายทาง ประกอบด้วย 1. ทล. 1 (สนามกีฬาธูปะเตมีย์ – ประตูน้ำพระอินทร์)
กม. 35+000 – กม. 45+000 จ.ปทุมธานี ระยะทาง 10 กิโลเมตร , 2. ทล. 1 (หางน้ำหนองแขม – วังไผ่) กม. 306+640 – กม. 330+600 จ.นครสวรรค์ ระยะทาง 23.96 กิโลเมตร ,3. ทล. 2 (บ่อทอง – มอจะบก) กม. 74+500 – กม. 88+000 จ.นครราชสีมา ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร ,4. ทล. 32 (อ่างทอง – โพนางดำออก) กม. 50+000 – กม. 111+473 จ.อ่างทอง, จ.สิงห์บุรี ระยะทาง 61.473 กิโลเมตร ,5. ทล. 34 (บางนา – ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) กม. 1+500 – กม. 15+000 จ.สมุทรปราการ ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร และ 6. ทล. 304 (คลองหลวงแพ่ง – ฉะเชิงเทรา) กม. 53+300 – กม. 63+000 จ.ฉะเชิงเทรา ระยะทาง 9.7 กิโลเมตร

ส่วนระยะที่ 3 จะเปิดให้ใช้ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 65 เป็นต้นไป จำนวน 5 สายทาง ประกอบด้วย 1.ทางหลวง ทล. 4 (เขาวัง – สระพระ) กม. 160+000 – กม.167+000 จ.เพชรบุรี ระยะทาง 7 กิโลเมตร 2. ทล. 4 (เขาวัง – สระพระ) กม. 172+000 – กม.183+500 จ.เพชรบุรี ระยะทาง 11.5 กิโลเมตร ,3. ทล. 9 (บางแค – คลองมหาสวัสดิ์) กม. 23+000 – กม. 31+872 เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ระยะทาง 8.872 กิโลเมตร 4. ทล. 35 (นาโคก – แพรกหนามแดง) กม. 56+000 – กม. 80+600 จ.สมุทรสงคราม ระยะทาง 24.6 กิโลเมตร ,5. ทล. 219 (สตึก – หัวถนน) กม. 108+500 – กม. 122+000 จ.บุรีรัมย์ ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ส่วนระยะที่ 4 จะเปิดให้ใช้ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 65 เป็นต้นไป จำนวน 3 สายทาง ประกอบด้วย 1. ทล. 1 (หนองแค – สวนพฤกษาศาสตร์พุแค) กม. 79+000 – กม. 105+000 จ.สระบุรี ระยะทาง 26 กิโลเมตร ,2. ทล. 347 (เทคโนโลยีปทุมธานี – ต่างระดับเชียงรากน้อย) กม. 1+000 – กม. 11+000 จ.ปทุมธานี ระยะทาง 10 กิโลเมตร และ 3.ทล. 219 (สตึก – หัวถนน) กม. 122+000 – กม. 134+500 จ.บุรีรัมย์ ระยะทาง 12.5 กิโลเมตร

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ส่วนเส้นทางหลวงที่จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.)เพื่อมาปรับปรุงให้สามารถใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม.นั้น จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน ระหว่างกรมการขนส่งทางบก (ขบ.)และ กรมทางหลวง ภายในเดือน ส.ค. 64 นอกจากนั้นให้กรมทางหลวงประชาสัมพันธ์และสื่อสารให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ทั้งในมิติของเส้นทางที่จะดำเนินการ และวันที่ที่ประชาชนจะสามารถใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 120 กม./ชม. ได้ตามกฎกระทรวง และ ประกาศผู้อำนวยการทางหลวง เพื่อให้เกิดการรับรู้อย่างทั่วถึง และ ถูกต้องต่อไป

นอกจากนี้ยังได้ติดตามความคืบหน้าโครงการยกระดับความปลอดภัยบนทางหลวงสายหลัก จำนวน 47 เส้นทาง โดยเป็นเส้นทางในภาคเหนือ 9 เส้นทาง ระยะทาง 186 กิโลเมตร เส้นทางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 เส้นทาง ระยะทาง 96 กิโลเมตร เส้นทางในภาคกลาง 15 เส้นทาง ระยะทาง 288 กิโลเมตร เส้นทางในภาคตะวันออก 9 เส้นทาง ระยะทาง 177 กิโลเมตร และเส้นทางในภาคใต้ 7 เส้นทาง ระยะทาง 116 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งสิ้น 863 กิโลเมตร ซึ่งจะต้องมีการก่อสร้างกำแพงคอนกรีต สะพานกลับรถหรือทางลอดกลับรถ สะพานคนเดินข้าม พร้อมทั้งปรับปรุงกายภาพ เส้นทางให้ปลอดภัย สามารถรองรับความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กม./ชม. โดยได้กำชับให้กรมทางหลวงเตรียมการออกแบบให้เหมาะสมเพื่อให้ประชาชนผู้สัญจรใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ต่อไป