“วีรศักดิ์” หนุนภาคเอกชน เร่งปรับตัวให้ทัน รับการค้ายุคนิวนอร์มอล หลังเผชิญวิกฤติโควิด-19



  • คาดกระแสความนิยม การบริโภคอุปโภคสินค้าและบริการท้องถิ่นมากขึ้น
  • พร้อมดึงกูรู แนะรูปแบบธุรกิจในอนาคต
  • เผยจากเหตุโควิด จะทำให้รัฐบาลทั่วโลกเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “ทิศทางและแนวโน้มตลาดเมียนมาจากเหตุการณ์ COVID-19” จัดโดยสภาธุรกิจไทยเมียนมา เมื่อวันที่ 27 .ที่ผ่านมา ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยนายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกันปรับตัว เพื่อก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงภาครัฐโดยภาคเอกชน ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตและการทำงาน จากวิถีเดิมไปสู่วิถีการดำรงชีวิตใหม่ หรือนิวนอร์มัล โดยทุกฝ่ายควรจะต้องเข้าใจสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้อย่างลึกซึ้ง และร่วมมือปรับตัวไปด้วยกัน กล่าวคือ มีความเป็นไปได้ที่การเดินทางระหว่างประเทศของผู้คนทั่วโลกจะไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป 

โดยข้อจำกัดดังกล่าวอาจก่อให้เกิด กระแสความนิยมการบริโภคอุปโภคสินค้าและบริการท้องถิ่น ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวหาแหล่งวัตถุดิบ หรือฐานการผลิตให้มีระยะทางที่ใกล้กับผู้บริโภคมากที่สุด เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการค้า โดยปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องมีคือ “ภูมิคุ้มกันต่อปัจจัยเสี่ยง” หรือความสามารถที่จะยืดหยุ่น เรียนรู้และปรับตัวต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ และที่สำคัญที่สุดคือจะต้องทำได้ดีกว่า เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว และในอนาคต ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคม และมีการบริหารจัดการที่โปร่งใสเป็นธรรม 

ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ใหม่ เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ของโลกในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไร้การสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ด้าน ได้แก่ การค้าออนไลน์การแพทย์ออนไลน์ และระบบอัตโนมัติต่างๆ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าแนวโน้มรูปแบบธุรกิจในอนาคต คือ การลดการติดต่อสัมผัสระหว่างผู้คนให้น้อยที่สุด โดยแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ในเรื่องความสะอาดสุขอนามัยของสินค้าสำคัญมาก ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคจะใช้ระบบเทคโนโลยีเป็นหลัก เพื่อลดการติดต่อสัมผัสทางกายภาพ อาทิ การขาย ไลฟ์สตรีมมิ่ง การชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด ไม่ใช้การรูดบัตร ไม่ต้องมีการสัมผัสสิ่งของร่วมกัน  ฯลฯ

นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า การแพร่ระบาดครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดการแทรกแซงทางเศรษฐกิจในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนรัฐบาลทั่วโลกได้เร่งประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแผนดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเน้นการดำเนินการใน 3 ด้าน ได้แก่ การช่วยเหลือประชาชนในความต้องการขั้นพื้นฐาน การจ้างงาน และการช่วยเหลือธุรกิจประเภทต่าง  ให้อยู่รอด โดยผู้นำธุรกิจจะต้องปรับตัวสู่วิถีปกติใหม่ที่มาพร้อมกับการแทรกแซงจากภาครัฐที่มากขึ้น เมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติและภาครัฐตัดสินใจจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ลง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคธุรกิจจะต้องติดตามการปรับเปลี่ยนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป 

อย่างไรก็ตาม เมื่อภาครัฐได้นำภาษีจากประชาชนจำนวนมากไปใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้น ความท้าทายที่เกิดขึ้นในยุคนิวนอร์มัลคือ จะทำให้การตรวจสอบรูปแบบต่างๆ จะต้องยกระดับความเข้มงวดให้มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และภาคธุรกิจจำเป็นจะต้องก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเช่นเดียวกับภาครัฐ ในการรับผิดชอบช่วยเหลือสังคมให้ปรับตัวเข้าสู่นิวนอร์มัลในระยะยาวด้วย 

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน สำหรับในบริบทประเทศไทย นายวีรศักดิ์ เห็นว่าจุดแข็งของเศรษฐกิจไทยเพื่อก้าวต่อไปในยุคนิวนอร์มัล ได้แก่  เป็นศูนย์กลางด้านการบริการสุขภาพและการใ ห้บริการด้านสุขภาพอย่างรอบด้านและครบวงจรด้านการผลิตสื่อสร้างสรรค์ (Creative Content)  และการขายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) ผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สินค้าอาหาร และเกษตรแปรรูปจากชุมชน มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมการให้บริการรูปแบบต่างๆ ผ่านช่องทางดิจิทัล การค้าออนไลน์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวท้องถิ่น เน้นสนุก สะอาด ได้ประสบการณ์วัฒนธรรมชุมชน เป็นต้น

ในทุกวิกฤติยังมีโอกาสอยู่เสมอ หากผู้ประกอบการเข้าใจสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน ก็จะสามารถประคองธุรกิจให้ผ่านพ้น และยังมีโอกาสจะเติบโตได้ท่ามกลางวิกฤติอย่างชัดเจน โดยในงานสัมมนาในครั้งนี้ก็ได้มีผู้แทนจากทั้งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ มาให้ความรู้ถึงรายละเอียดของมาตรการช่วยเหลือต่างๆ และโอกาสต่างๆ ที่มีในเชิงลึกด้วย” นายวีรศักดิ์ กล่าว