วิกฤติตลาดแรงงานไทยที่ต้องจับตามอง



นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เขียนบทความ โดยมีเนื้อเกี่ยวกับ วิกฤติตลาดแรงงานในประเทศไว้ได้น่าสนใจ โดยระบุว่า…

ปีนี้ที่เค้าว่ากันว่าเป็นปีเผาจริง ประเด็นรุมเร้าทางเศรษฐกิจมีเรื่องของตลาดแรงงานเป็นประเด็นสำคัญอีกอันที่ทุกคนกังวลกันมาก ซึ่งมีทั้งฝ่ายผู้ว่าจ้างและผู้ถูกจ้างที่ต่างก็มีความอ่อนไหวทั้งคู่ในปีนี้

ท้าวความไปถึงครั้งก่อนที่ผมเขียนเรื่อง SME ไทยเอาไว้ว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะว่าเป็นกลุ่มผู้จ้างแรงงานสูงสุดกว่า 14 ล้านคน หรือ 85% ของแรงงานทั้งประเทศเลยทีเดียว เมื่อ SME เหล่านี้ประสบปัญหาสภาพคล่อง หรือธุรกิจถดถอยอย่างรุนแรง ประกอบกับซอฟท์โลนที่ถูกปล่อยออกมาน้อยมากทำให้ผู้ประกอบการถอดใจกันเป็นแถวๆและถ้าพิจารณากันดีๆ จะเห็นว่า SME ส่วนมากทำธุรกิจเรื่องของการค้าขาย ท่องเที่ยว หรือผลิตสินค้าเบสิคพื้นฐานเป็นหลัก ส่งผลให้แรงงานที่อยู่ในสารบบเป็นแรงงาน ประเภทที่ทดแทนได้ง่าย ไม่ใช่แรงงานทักษะเฉพาะที่องค์กรเสียดาย (เพราะมีต้นทุนสูงในการพัฒนาศักยภาพหรือมีต้นทุนสูงในการหาคนมาทดแทน) ยิ่งทำให้สถานการณ์น่ากลัวเพราะผู้ประกอบการรู้ดีว่าถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นจะกลับมาก็มีแรงงานประเภทนี้อยู่เกลื่อนตลาด เป็นปัจจัยส่งผลให้ผู้ประกอบการถอดใจหยุดพักกิจการแล้วลอยแพพนักงานหรือลดจำนวนการจ้างงานลงก็ทำได้ง่าย

ในส่วนของผู้ถูกจ้างหรือแรงงานเองนั้นก็มีความเปราะบางไม่แพ้กัน เรากำลังพูดถึงอีกไม่เกิน 2 เดือนที่ตลาดแรงงานของไทยจะต้องรองรับบัณฑิตจบใหม่ในปีนี้เพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 5 แสนคนและเมื่อรวมกับเด็กที่จบไปแล้วเมื่อปีก่อนแต่ยังไม่มีงานทำประมาณเกือบ 4 แสนคนจะสะสมราว 9 แสนคนเลยทีเดียว นี่แค่กลุ่มแรงงานที่เพิ่งเข้าตลาดอย่างเดียวนะครับที่จะต้องดิ้นรนหางานทำ แต่ในโครงสร้างของแรงงานไทยยังมีกลุ่มของพวกอายุ 45-50 ปีที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนปลดระวางก่อนกำหนดและกลุ่มที่ยังมีอายุงานไม่ถึง 1 ปีซึ่งเป็นกลุ่มที่ทุกคนมองว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการโดนเลิกจ้างเช่นกัน แล้วที่เราพูดกันปาวๆ ว่ากำลังเดินหน้าเป็นเศรษฐกิจแบบดิจิตัลที่จะมีการจ้างแรงงานในอุตสาหกรรมและความเชี่ยวชาญใหม่ๆ ล่ะ ผมคาดว่ายังคงมีไม่มากนักใน 1-2 ปีนี้และถึงแม้เมื่อเศรษฐกิจแบบดิจิตัลมาถึงจริงๆแรงงานที่จบมาใหม่ๆ ในช่วงนี้ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นสาขาที่ไม่ตรงต่อความต้องการตลาดอยู่ดี

ท่านนายกฯ ได้เคยเรียกเจ้าสัวผู้ประกอบการธุรกิจรายใหญ่หลายๆราย เข้าไปคุยและขอให้ช่วยกันคงการจ้างงานเอาไว้ให้มากที่สุด ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจรายใหญ่ๆ คงไม่ขัดข้องเพราะสายป่านยาว แต่ผมคิดว่าคนที่ท่านนายกฯ อาจจะต้องหารือและรับฟังความเห็นในการพยุงตลาดแรงงานไว้น่าจะเป็นฝั่ง SME เสียมากกว่านะครับ ประเทศไทยไม่เคยเผชิญกับอัตราการว่างงานที่พุ่งสูงขนาดนี้มาเป็นสิบปีแล้ว และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในบริบทเศรษฐกิจสมัยใหม่ เราทุกคนอาจต้องช่วยกันมองหาวิธีใหม่ๆ นอกกรอบมาแก้ปัญหานี้กัน

ยกตัวอย่างไอเดียที่ผมและคุณกรณ์ จาติกวณิชเคยแชร์บนเวที The Standard Economic Forum เมื่อกลางปีที่แล้วก็น่าสนใจ โดยที่ผมเสนอว่ารัฐบาลต้องเพิ่มอัตราเพื่อจ้างงานบัณฑิตจบใหม่เสียเองด้วยจำนวนหนึ่งในขณะที่คุณกรณ์เสริมว่ารัฐบาลก็ต้องมีมาตรการสนับสนุนเช่นการคืนภาษีร้อยละเท่าไหร่ก็ว่าไปของมูลค่าการจ้างแรงงานในกลุ่มนี้เพื่อดึงดูดให้บริษัททั้งใหญ่ๆ และ SME มาจ้างงานบัณฑิตเหล่านี้เพิ่มเพื่อให้ทั้งมีงานทำและเรียนรู้งานภาคธุรกิจซึ่งจะสามารถเอาสิ่งที่เรียนรู้มาเป็นแรงขับเคลื่อนภาคเอกชนต่อไปได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

อย่าลืมนะครับว่าการที่คนหนึ่งตกงาน ไม่ได้กระทบแค่คนๆ นั้นแต่จะกระทบเศรษฐกิจภาพรวมที่ระดับการจับจ่ายใช้สอยมีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้ากระเป๋าคนอื่นในสารบบลดลง กระทบกันเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ ปัญหานี้จึงเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงของรัฐบาลในช่วงปีนี้อย่างแน่นอน คิดแก้ปัญหาอยู่คนเดียวดูแล้วน่าจะยากอยู่ ภาคธุรกิจไม่ว่าเล็กและใหญ่ ใครมีความคิดอะไรดีๆ ก็ต้องช่วยนำเสนอท่านนายกฯ กันนะครับ