

- จากการทดลองเฟสแรกและสองกลุ่มอาสาสมัครส่วนใหญ่ผลิตแอนติบอดี้ที่เป็นกลางที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าป้องกันเซลล์จากไวรัสได้
- เตรียมเผยผลเฟสสามกับอาสาสมัคร 45,000 คนปลายเดือนมกราคมนี้
มีรายงานข่าวว่า วารสาร New England Journal of Medicine ตีพิมพ์เมื่อวันพุธที่ 13 มกราคม 2564 ว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (J&J) จำนวน 1 โดส มีความปลอดภัยและสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน ในอาสาสมัครที่ทดลองฉีดในเด็กและผู้สูงอายุ
นักวิทยาศาสตร์ของ J&J ได้สุ่มตัวอย่าวทดลองในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงอายุระหว่าง 18-55 ปี และอายุ 65 ปีขึ้นไปเพื่อรับวัคซีนในปริมาณสูงและต่ำ ที่เรียกว่า Ad26.COV2.S หรือยาหลอกซึ่งอาสาสมัครบางคนในกลุ่มอายุ 18 ถึง 55 ปีได้รับเลือกให้รับวัคซีนครั้งที่สอง
ตามข้อมูลการทดลองตรวจพบได้ว่าอาสาสมัครส่วนใหญ่ผลิตแอนติบอดี้ที่เป็นกลาง ที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีบทบาทสำคัญในการป้องกันเซลล์จากไวรัสหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 28 วัน ขณะที่ในวันที่ 57 อาสาสมัครทุกคนตรวจพบมีแอนติบอดี้ โดยไม่คำนึงถึงปริมาณวัคซีนหรือกลุ่มอายุและยังคงมีเสถียรภาพอย่างน้อย 71 วันในกลุ่มอายุ 18 ถึง 55 ปี
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและปวดบริเวณที่ฉีด ตามข้อมูลการทดลองผลข้างเคียงพบน้อยกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนเพียงครั้งเดียวเช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับวัคซีนในปริมาณที่ต่ำกว่าตามข้อมูล
ดร.พอล สตอฟเฟลส์ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ J&J กล่าวว่าการทดลองในเฟสแรกและเฟสสองแสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียวสามารถสร้างแอนติบอดี้ที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยให้บริษัทมั่นใจว่าวัคซีนจะมีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านไวรัส
ทั้งนี้การทดลองฉีดวัคซีนดังกล่าวผ่านอาสาสมัครจำนวน 805 คน และ J&J ระบุว่าจะเปิดเผยผลการทดลองในเฟสสามกับอาสาสมัคร 45,000 คนในปลายเดือนมกราคมนี้