ราคาน้ำมันดิบ ส่งสัญญาณปรับขึ้นต่อเนื่อง



ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเฉลี่ยรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 4% ซาอุดีอาระเบียจะขยายลดการผลิตน้ำมันดิบ ออกไปอีก 1 เดือน

  • ปริมาณสำรองน้ำมันดิบลดลงต่ำสุด
  • กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ยกเลิกการซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมคลังสำรอง
  • Tengizchevroil ปิดซ่อมแซมฉุกเฉินแหล่งผลิตน้ำมันดิบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  โดยทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ  ได้วิสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 24 – 28 ก.ค. 66 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 31 ก.ค. – 4 ส.ค. 66 โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเฉลี่ยรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 4% จาก Reuters รายงานซาอุดีอาระเบียจะขยายเวลาขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันดิบแบบสมัครใจปริมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ออกไปอีก 1 เดือนจากปัจจุบันสิ้นสุดเดือน ส.ค. 66 เป็นเดือน ก.ย. 66 อย่างไรก็ตาม โดยวันที่ 2 ส.ค. 66 ราคา NYMEX WTI ปิดตลาดต่ำกว่า 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบ 4 วัน หลังสถาบัน Fitch Ratings ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Long-Term Issuer Default Rating: IDR ) ของสหรัฐฯ ลง 1 ขั้น         

ด้านปัจจัยพื้นฐาน  EIA  รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ที่สหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 ก.ค. 66 ลดลงจากสัปดาห์ก่อน  17 ล้านบาร์เรล ลดลงรายสัปดาห์มากสุดเป็นประวัติการณ์ (นักวิเคราะห์จาก Reuters คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อน ) ขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบในคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve : SPR) อยู่ที่ 346.8 ล้านบาร์เรล ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2526 

คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 80-85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จับตาการประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) ของกลุ่ม OPEC+ ที่จะจัดขึ้นแบบออนไลน์ในวันที่ 4 ส.ค. 66 โดย Reuters คาดการณ์ว่า OPEC+ จะคงนโยบายลดการผลิตน้ำมันดิบ 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนถึงสิ้นปี 2567

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก อาทิ Eurostat รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonized Indices of Consumer Prices: HICP) ซึ่งบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ของยูโรโซน (20 ประเทศ) ในเดือน ก.ค. 66 จากปีก่อนอยู่ที่ +5.3% ต่ำสุดตั้งแต่เดือน ม.ค. 65 Reuters รายงาน OPEC ผลิตน้ำมันดิบในเดือน ก.ค. 66 ลดลง 840,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดือนก่อนอยู่ที่ 27.34 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยซาอุดีอาระเบียผลิตลดลงจากเดือนก่อน 860,000 บาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 9.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

นาย Alibek Zhamauov รมว.พลังงานของคาซัคสถาน แถลงว่าบริษัท Tengizchevroil ปิดซ่อมแซมฉุกเฉินแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Tengiz (610,000 บาร์เรลต่อวัน) ในวันที่ 26-27 ก.ค. 66 ส่งผลให้ปริมาณการผลิตลดลงประมาณ 88,000 – 95,000 บาร์เรลต่อวัน และมีแผนปิดซ่อมบำรุงประจำปีตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 66 เป็นระยะเวลา 40 วัน

McKinsey & Company รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ทั่วโลกในเดือน มิ.ย. 66 ลดลงจากเดือนก่อน 19 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ 4,560 ล้านบาร์เรล ลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน ก.พ. 66 จากปริมาณสำรองของประเทศกำลังพัฒนา (Non-OECD) ลดลง หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ อาทิ   วันที่ 27 มิ.ย. 66 ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% (เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 9 ติดต่อกัน) ทำให้อัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate, Main Refinancing Operations Rate และ Marginal Lending Facility Rate อยู่ที่ระดับ 3.75%, 4.25% และ 4.5% ตามลำดับ    ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ขึ้น 0.25% มาอยู่ที่ 5.25-5.50% สูงสุดในรอบ 22 ปี เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ +2% จากปีก่อน  กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ยกเลิกการซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ปริมาณ 6 ล้านบาร์เรล ที่ประกาศเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 66 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ เคยระบุเกณฑ์การเข้าซื้อที่ช่วงราคา 67-72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล