ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้น้ำมันโลก 

  • ความต้องการใช้น้ำมันของจีนในปี 66 จะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
  • หลังจากยกเลิกมาตรการ Zero-COVID
  • เกิดเหตุแผ่นดินไหวในตุรกี ส่งผลต่อท่อและท่าส่งน้ำมัน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent และ NYMEX WTI เฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัว หลังนาย Alexander Novak รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย เผยแผนลดการผลิตน้ำมันดิบในเดือน มี.ค. 66 ลง 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 5% ของปริมาณการผลิตของรัสเซีย เพื่อตอบโต้ชาติตะวันตกที่ออกมาตรการตั้งเพดานราคาน้ำมัน (Price Cap) จากรัสเซียซึ่งขนส่งทางทะเล ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 65 พร้อมทั้งกล่าวย้ำว่าจะไม่จำหน่ายน้ำมันให้แก่ชาติที่เข้าร่วมมาตรการ Price Cap น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากรัสเซียทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้ รัสเซียผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 66 อยู่ที่ 10.93 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ผลิตคอนเดนเสทประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน)

ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยธนาคาร Australia and New Zealand Banking Group Ltd. (ANZ) ของออสเตรเลียชี้ว่าอุปสงค์น้ำมันของจีนที่ฟื้นตัว หลังยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ที่ดำเนินการอย่างเข้มงวดมานานกว่า 3 ปี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันโลกในปีนี้ ทั้งนี้ ANZ คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของจีนในปี 66 จะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า หรือประมาณ 50% ของอุปสงค์โลกซึ่งจะเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า ขณะที่เลขาธิการ OPEC นาย Haitham al-Ghais คาดว่าอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 66 จะอยู่ที่ 102 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 และจะเติบโตสู่ 110 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 68

โดย สัปดาห์นี้คาดว่าราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 83 – 88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยนาย Haitham al-Ghais คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent จะแตะระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 66 ขณะที่นาย Afshin Javan ผู้แทนอิหร่านประจำ OPEC คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงครึ่งหลังของปี 66

สำหรับปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก อาทิ   รายงานฉบับเดือน ก.พ. 66 ของ EIA รายงานอุปสงค์น้ำมันโลกปี 65 เพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 99.36 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับลดจากคาดการณ์ครั้งก่อน 7 หมื่นบาร์เรลต่อวัน) และคาดการณ์ปี 66 เพิ่มขึ้น 1.11 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 100.47 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับลดจากคาดการณ์ครั้งก่อน 1 หมื่นบาร์เรลต่อวัน)

วันที่ 7 ก.พ. 66 ทางการตุรกีประกาศเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) ท่าส่งมอบน้ำมัน Ceyhan (1 ล้านบาร์เรลลต่อวัน) บริเวณชายฝั่งทะเล Mediterranean เพื่อตรวจสอบด้านความปลอดภัย หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณตอนใต้ของตุรกีเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 อย่างไรก็ดี วันที่ 8 ก.พ. 66 การขนส่งน้ำมันดิบ Azeri ผ่านท่อ Baku-Tblisi-Ceyhan (BTC: 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน) จากอาเซอร์ไบจานสู่ท่า Ceyhan กลับมาดำเนินการตามปกติ

ส่วนปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ รายงานฉบับเดือน ก.พ. 66 ของ EIA คาดการณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในปี 66 เพิ่มขึ้น 0.59 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 12.49 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปี 67 เพิ่มขึ้น 0.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 12.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน

วาณิชธนกิจ Goldman Sachs คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ในปี 66 อยู่ที่ 92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (ปรับลดจากคาดการณ์เดิม 6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) และปี 67 อยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (ปรับลดจากคาดการณ์เดิม 5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) โดยชี้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันชะลอตัว ขณะที่อุปทานรัสเซียไม่หายไปมากอย่างที่คาด