

- เผยเศรษฐกิจไทย กำลังอยู่บนความเสี่ยง จากสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน
- ภาคอุตสาหกรรมถูกไล่ล่าจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยี อย่างรวดเร็วรุนแรง
- ลั่นความท้าทายสูงสุดขณะนี้-ระยะข้างหน้า ภาคอุตฯกำลังเผชิญกับ PERFECT STROM อย่างเต็มตัว
- จากผลพ่วงของสงครามความขัดแย้ง “รัสเซีย-ยูเครน”
- แนะอุตสาหกรรมปรับตัวมุ่งสู่ BCG MODEL ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรม
- ให้ความสำคัญกับ Supply chain security ใช้พลังงานทดแทน
- ลุยพัฒนาทักษะด้านแรงงานที่จำเป็น พร้อมรับมือกับปัญหา Climate change
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงทิศทางภาคอุตสาหกรรมไทย ปี 2566 ในวงเสวนา : ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ 2023 รอดหรือร่วง ในงาน Thailand Economic Outlook 2023 ซึ่งจัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ว่า ขณะนี้ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทย กำลังอยู่บนความเสี่ยง จากสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอนและมีความผันผวนสูง หลายปัจจัยภาพใหญ่ มีความคลุมเครือและซับซ้อน
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมไทย ยังถูกไล่ล่าจากการเปลี่ยนทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยี หรือดิจิทัลดิสรัปชั่น อย่างรวดเร็วรุนแรง เช่นเดียวกับภาพกำลังซื้อที่ถดถอย เพราะประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างประชากร หลังจากวัยทำงานน้อยลง เด็กแรกเกิด มีอัตราเกิดใหม่ลดลงราว 3 แสนคน แต่กลับมีคนสูงวัยในระบบมากขึ้น นั่นกลายเป็นกับดักสำคัญที่อาจทำให้ประเทศไทยไม่สามารถหลุดพ้นจากคำว่า ‘ประเทศกำลังพัฒนา’ ได้
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลกระทบมายังแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สะท้อนภาพการเติบโตต่ำที่ไม่ถึง 3% หลายปีติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายสูงสุดในขณะนี้ และ ระยะข้างหน้า คือ ภาคอุตสาหกรรม กำลังเผชิญกับ PERFECT STROM อย่างเต็มตัว จากผลพ่วงของสงครามความขัดแย้ง รัสเซีย-ยูเครน ได้แก่
1.เงินเฟ้อไทย เดือนสิงหาคม อยู่ที่ 7.86% สูงสุดในรอบ 14 ปี
2.การขาดแคลนวัตถุดิบ เช่น Chip อาหารสัตว์ ปุ๋ย และ สารเคมี
3.ต้นทุนค่าพลังงาน หลังจากค่าไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 17% ,ราคาน้ำมันทำสถิติสูงสุดในรอบ 8 ปี ราคาก๊าซหุงต้น LPG ขึ้นเป็น 408 บาทต่อถัง เพิ่มขึ้น 28%
4.ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้น 5-8%
5.อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 16 ปี ทะลุ 38-39 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
6.อัตราดอกเบี้ย ปรับขึ้นเป็น 1% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก
7.ต้นทุนค่าขนส่ง เช่น ค่าระวางเรือ เดือน สิงหาคม อยู่ที่ 5,800 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ TEU เพิ่มขึ้น 45%
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ทั้งหมดถือเป็นความท้าทาย และกำลังฉุดรั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสหกรรมไทย เมื่อเทียบกับต้นทุนที่ถูกกว่าของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ซึ่งอาจทำให้ต่างชาติเหลียวมองเวียดนามมากกว่าประเทศไทย
นายเกรียงไกร กล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2565 นั้น จะชะลอตัวลง จาก 6.1% เหลือ 3.2% ทั้งนี้ มาจากการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และหลายประเทศทั่วโลก จากผลกระทบอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูง จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทย อ้างอิงคาดการณ์จากธนาคารโลก ประเมินว่า จีดีพีไทย ในปี2565 จะอยู่ที่ระดับ 3.1% ซึ่งถูกปรับเพิ่มขึ้นมา จากการบริโภค และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น
สำหรับแนวทาง การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม อยากให้ภาคเอกชน ปรับตัวรับมือ 6 ด้าน ดังนี้
1.มุ่งสู่ BCG MODEL
2.เทคโนโลยีและนวัตกรรมนำอุตสาหกรรม
3การให้ความสำคัญกับ Supply chain security
4.การใช้พลังงานทดแทนเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรม
5.การพัฒนาทักษะด้านแรงงานที่จำเป็น
6.การรับมือกับปัญหา Climate change
ทั้งนี้ ประการที่ 7 แม้เอกชนไทยแข็งแกร่ง เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเสมอมา แต่มีความจำเป็นต้องอาศัยการผลักดันผ่านนโยบายของรัฐบาลเช่นเดียวกัน โดยความคาดหวังของเอกชน จากสัญญาณการเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า คือ ความต่อเนื่องทางนโยบาย การปลุกปั้นโมเดลที่จริงจังระหว่างรัฐและเอกชนเฉกเช่น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ถึงจะตอบคำถามได้ว่า ปีหน้า อุตสาหกรรมไทยจะรุ่งหรือร่วง
“วันนี้โลกกำลังอยู่บนความไม่แน่นอน และ ผันผวนสูง ขณะภาคอุตสาหรรม เจอ PERFECT STROM ค่าแรง ,เงินเฟ้อ,อัตราแลกเปลี่ยน ,ขาดแคลนวัตถุดิบ ,อัตราดอกเบี้ย และ ต้นทุนแพง ความสามารถการแข่งขันตกจากอันดับที่ 28 มาอยู่ที่ 33 จะรอดหรือจะร่วง ? อยู่ที่เอกชนกับรัฐจะจับมือกันอย่างไร” นายเกรียงไกร กล่าว