ม.หอการค้าไทยชี้ปีนี้ไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย

  • เหตุระดับปัจจุบันยังเอื้อต่อการคุมเงินเฟ้อไม่เกิน 1-3%
  • เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแล้วไทยควรลดตาม
  • จับตาชำระคืนหนี้หลายแสนล้านบาทปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยในปัจจุบันเป็นอัตราดอกเบี้ยเชิงธรรมชาติ ที่น่าจะอยู่ในจุดสมดุลเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อทั่วไปของไทยที่ไม่เกิน 2% หรืออยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% ของธนาคารของแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งปี 66 เงินเฟ้อทั่วไปไทยอยู่ที่ 1.23% โดยดอกเบี้ยจะต้องสูงกว่าเงินเฟ้อ เพื่อทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก หากดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ ประชาชนก็จะไม่ฝากเงิน ทั้งนี้ คาดว่า เงินเฟ้อทั่วไปของไทยปีนี้ จะใกล้เคียง 2% ดังนั้น ดอกเบี้ยนโยยายของไทยปัจจุบัน ยังเอื้อต่อการรักษาระดับเงินเฟ้อ ไม่จำเป็นต้องขยับขึ้นอีกแล้วในปีนี้


“ตอนที่ไทยขึ้นดอกเบี้ยนโยบายปีที่แล้ว เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ รักษาช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ และไทย ไม่ให้ห่างกันจนเกินไป และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท แต่ขณะนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ถ้าเฟดลดเมื่อไร ไทยก็ควรลดเหมือนกัน เพราะคาดว่า เงินเฟ้อปีนี้ไม่เกิน 2% จากการที่รัฐยังมีมาตรการลดค่าครองชีพด้านพลังงาน ทำให้มองว่า ไตรแรกปีนี้ มีโอกาสที่เงินเฟ้อทั่วไปจะยังติดลบอยู่ หลังจากติดลบมาแล้ว 3 เดือน และเข้าสู่ภาวะเงินฝืดทางเทคนิคจากการแทรกแซงราคาพลังงาน ไม่ใช่เงินฝืดจากกำลังซื้ออ่อนแรง”


นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ปีนี้ เศรษฐกิจไทย นอกจากมีความเสี่ยงจากสงครามอิสราเอล-ฮามาส การโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดง ที่อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยแล้ว ยังมีเรื่องการชำระหนี้ของตราสารหนี้ ที่ปีนี้ต้องชำระคืนมูลค่าหลายแสนล้านบาท แต่เริ่มเห็นสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้ และการเลื่อนชำระหนี้แล้ว 2-3 บริษัทนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา หากมีมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดตราสารหนี้ ตราสารทุน ตลาดหุ้น ความมั่นคงทางการเงินของไทย และเศรษฐกิจไทยได้


ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ส่วนต่าง (สเปรด) ดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ของไทยอยู่ในระดับสูง เพราะสถาบันการเงินจำเป็นต้องตั้งสำรองสูงเผื่อหนี้เสีย ทรัพย์สินด้อยค่า และตั้งสำรองตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ เพราะไทยเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยเงินกู้มากกว่าเงินฝาก อีกทั้งหลายบริษัทพยายามกู้เงินเพื่อเอาไปชำระคืนตราสารหนี้ หุ้นกู้ต่างๆ ทำให้สถาบันการเงินต้องระมัดระวังปล่อยกู้ และมีสเปรดดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าเงินฝาก แต่ถือว่าสเปรดดอกเบี้ยไทยอยู่ในระดับกลางๆ ของอาเซียน เป็นไปตามดีมานด์ ซัปพลายในตลด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้ว่าการธปท.ไปแล้ว จะทำให้ธปท.กลับมาพิจารณาว่าสเปรดดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร และหาแนวทางดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป