

ทอท. เร่งนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร พร้อมทุ่มงบประมาณกว่าแสนล้านบาทเร่งขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งตั้งแต่ปี 66-70 หลังพบปริมาณการเดินทางผู้โดยสารพุ่ง คาดปี 67คนเดินทางผ่านสนามบินกว่า142 ล้านคนต่อปี ดีเดย์เปิดทดลองใช้อาคารSAT-1กันยา66นี้ ก่อนเปิดทางการเต็มรูปแบบต้น ก.พ.67มั่นใจSAT-1เป็นฮับรองรับผู้โดยสารต่อเครื่องจากทั่วโลก พร้อมเสนอขอ กพท.เก็บค่าภาระผู้โดยสารใช้สนามบิน หวังสร้างรายได้จากต่างชาติเฉลี่ยหัวละ 200-600บาทต่อคน ส่วนรายได้กำไร คาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังคนกลับมาเดินทาง
นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน)(ทอท.) เปิดเผยว่า ทอท.คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารในปี66ว่าจะกลับมาที่ 95ล้านคนต่อปีและจะเพิ่มขึ้นเป็น 142 ล้านคนต่อปีในปี 67 หรือเทียบเท่ากับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่ปริมาณการจราจรทางอากาศของสนามบินทั้ง 6 แห่งของทอท. ประกอบด้วยสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินเชียงใหม่ สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย สนามบินภูเก็ต และ สนามบินหาดใหญ่ ในรอบ 8 เดือนของปีงบประมาณ 66 (1 ตุลาคม 65 – 31 พฤษภาคม 66) มีผู้โดยสารใช้บริการทั้งสิ้น 66.38 ล้านคน เพิ่มขึ้น 170.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 65 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 34.31 ล้านคน เพิ่มขึ้น 635.7% และผู้โดยสารภายในประเทศ 32.06 ล้านคน เพิ่มขึ้น 61.3% ขณะที่มีเที่ยวบิน 422,900 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 79% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 202,700 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 175.2 และเที่ยวบินภายในประเทศ 220,300 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 35.4 % อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงของเดือนพฤษภาคม 66 เปรียบเทียบจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันกับช่วงก่อนโควิด-19 พบว่าสนามบินทั้ง 6 แห่งของ ทอท. มีผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ย 300,000 คนต่อวัน ฟื้นตัว 76.5% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด
นอกจากนั้นในการเพิ่มศักยภาพนองรับปริมาณผู้โดยสารของ ทอท. ในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิ ได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาให้บริการ ได้แก่ เครื่อง CUSS (Common Use Self Service) สำหรับผู้โดยสารสามารถเช็กอินด้วยตนเอง และเครื่อง CUBD (Common Use Bag Drop) สำหรับให้ผู้โดยสารสามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระได้เอง รวมไปถึงระบบส่งคืนถาดใส่สัมภาระอัตโนมัติ (Automatic Return Tray System: ARTS) ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความคับคั่งในการรอต่อคิว ณ เคาน์เตอร์ตรวจบัตรโดยสาร และบริเวณจุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ รวมไปถึงการเชื่อมต่อข้อมูลการบริการต่างๆ ของสนามบินไปไว้บนแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลา
ส่วนการแก้ไขปัญหาความแออัดของผู้โดยสารบริเวณจุดตรวจหนังสือเดินทาง ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ทอท. มีแผนจะติดตั้งเครื่อง Auto Channel เพื่อให้บริการผู้โดยสารขาออก ซึ่งรองรับ e-Passport ได้ 90 ประเทศทั่วโลก ขณะที่ผู้โดยสารขาเข้านอกจากผู้โดยสารชาวไทยแล้ว ประเทศไทยได้ลงนามความร่วมมือในด้านการผ่านเข้าประเทศกับประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง ทำให้ผู้โดยสารของประเทศเหล่านี้สามารถใช้บริการ Auto Channel ได้ ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มนำร่องให้บริการที่ สนามบินสุวรรณภูมิ และ สนามบินดอนเมืองโดยจะทยอยติดตั้งและให้บริการได้ในปี 67 ซึ่งจะทำให้ สุวรรณภุมิรองรับผู้โดยสารขาออกจาก 6,200 คนต่อชั่วโมง เป็น 8,800 คนต่อชั่วโมง และรองรับผู้โดยสารขาเข้าจาก 11,000 คนต่อชั่วโมง เป็น 13,300 คนต่อชั่วโมง และที่สนามบินดอนเมือง.สามารถรองรับผู้โดยสารขาออกจาก 3,000 คนต่อชั่วโมง เป็น 3,600 คนต่อชั่วโมง และผู้โดยสารขาเข้าจาก 3,100 คนต่อชั่วโมง เป็น 3,600 คนต่อชั่วโมง
สำหรับการแก้ไขปัญหากระเป๋าสัมภาระล่าช้าเนื่องจากผู้ให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้นไม่เพียงพอนั้นคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการรายที่ 3 พร้อมกับโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ทสภ.ของผู้ประกอบการรายที่ 3 แล้วเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 66 และขณะนี้ ทอท. อยู่ระหว่างดำเนินการตามกระบวนการของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน พ.ศ.2562 ในส่วนของการคัดเลือกเอกชน คาดว่าจะได้ผู้ดำเนินการภายในปี 67 ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาสัมภาระล่าช้าและรองรับสายการบินที่จะทำการบินมายังประเทศไทยได้มากขึ้น พร้อมทั้งเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวให้แก่ประเทศไทยต่อไป
นอกจากนั้นในอนาคต ทอท.จะนำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสาร โดยเมื่อผู้โดยสารมาเช็กอินที่เคาน์เตอร์เช็กอินปกติ หรือที่เครื่อง CUSS หากผู้โดยสารให้การยินยอมใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ระบบ Biometric จะนำข้อมูลใบหน้าผู้โดยสารผสานรวมกับข้อมูลการเดินทางของผู้โดยสาร สร้างเป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการตรวจสอบยืนยันตัวตน เรียกว่าข้อมูล One ID ซึ่งเมื่อดำเนินการสำเร็จ ผู้โดยสารจะใช้เพียงใบหน้าสแกนเพื่อโหลดกระเป๋าสัมภาระที่เครื่อง CUBD รวมถึงใช้ยืนยันตัวตนแทนการใช้ Boarding Pass ณ จุดตรวจค้นและในขั้นตอนการตรวจบัตรโดยสารก่อนขึ้นเครื่อง ณ ประตูทางออกขึ้นเครื่องด้วย โดยระบบ Biometric ใช้เวลาน้อย มีความแม่นยำสูง และช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวในการตรวจสอบแต่ละจุดให้บริการ ซึ่งขณะนี้ ทอท. ได้ติดตั้ง พัฒนาและอยู่ระหว่างทดสอบระบบร่วมกับสายการบิน คาดว่าจะมีความพร้อมให้บริการในช่วงกลางปี 67
นายกีรติ กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการรองรับการเดินทางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นในเดือนกันยายน 66 ทอท.จะเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) ที่สนามบินสุวรรณภูมิอย่างไม่เป็นทางการ และมีแผนที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบในต้น ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 67 ซึ่งSAT-1จะรองรับผู้โดยสารได้อีก 15 ล้านคนต่อปี ทำให้สุวรรณภูมิมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้เป็น 60 ล้านคนต่อปี โดยอาคาร SAT-1 มีพื้นที่กว้างขวางถึง 216,000 ตารางเมตร มีประตูทางออกเชื่อมต่อกับหลุมจอดประชิดอาคาร (Contact Gate) จำนวน 28 หลุมจอด ซึ่งได้มีการออกแบบอาคารที่ผสมผสานความทันสมัยและมีเอกลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นไทย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
นอกจากนั้น ทอท. ยังมีแผนลงทุนขยายขีดความสามารถในสนามบินทั้ง6แห่ง ตั้งแต่ปี66-70 วงเงินงบประมาณลงทุนรวมกว่า 100,000 ล้านบาท โดยสนามบินสุวรรณภูมิ จะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) เพื่อรองรับปริมาณผู็โดยสารได้อีก 15 ล้านคนต่อปี คาดว่าจะเริ่มหาผู้รับจ้างได้ในต้นปี 67ในส่วนของ สนามบินดอนเมืองจะขยายสนามบินระยะที่ 3 โดยจะสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังที่ 3 เพื่อรองรับผู้โดยสารเดินทางระหว่างประเทศ และปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร 1 และอาคารผู้โดยสาร 2 ในปัจจุบัน เพื่อให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้สนามบินดอนเมืองรองรับผู้โดยสารได้เป็น 50 ล้านคนต่อปี
ส่วนสนามบินภูเก็ตจะเร่งก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เป็น 18 ล้านคนต่อปี ส่วนสนามบินเชียงใหม่ จะก่อสร้างอาคารระหว่างประเทศ และปรับปรุงอาคารภายในประเทศ เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้กว่า 18ล้านคนต่อปี ขณะที่ สนามบินเชียงราย และ สนามบินหาดใหญ่ ก็จะมีการปรับปรุงเช่นกัน
นายกีรติ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ทอท. มีแนวคิดที่จะมีการจัดเก็บค่าภาระการใช้สนามบินจากผู้โดยสารที่เดินทางมาต่อเครื่อผ่านอาคาร SAT-1 สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาคาดว่าภายในสิ้นปี 66 จะได้ข้อสรุปก่อนเสนอขออนุมัติจาก สำนักงานคณะกรรมการการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) ซึ่งหลายๆสนามบินในโลกนี้ก็มีการจัดเก็บค่าภาระการใช้สนามบินหากมีการต่อเครื่องบินตั้งแต่ 200-600บาทต่อคน ขณะเดียวกันมองว่า SAT-1 มีความพร้อม เนื่องจากเป็นอาคารที่พักผู้โโยสารและ มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆทั้งร้านค้า โรงแรม รองรับและที่สำคัญอาคารดังกล่าวให้บริการ เครื่องบินต้องพักคอยไม่น้อยกว่า5ชั่วโมง อย่างไรก็ตามการจะเก็บค่าภาระดังกล่าวได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ สายการบินพันธมิตรที่มาใช้บริการด้วยว่ามองไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินหรือไม่