มาตรการล็อกดาวน์ ช่วยลดผู้ติดเชื้อโควิดได้เพียง 20%

  • “สาธารณสุข” ย้ำต้องเข้มการล็อคดาวน์ตัวเอง
  • สถานการณ์ผู้ติดเชื้อทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
  • ไทย ติดเชื้อจากคนที่กลับภูมิลำเนาเพื่อรักษา-ติดเชื้อไม่รู้ตัว

นายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า  สำหรับมาตรการล็อกดาวน์จากการดำเนินการถึงขณะนี้ พบว่า เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่มาตรการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพลดการแพร่โรคจากหนึ่งคนไปคนอื่น ลดลงได้ 20% ดังนั้นต้องเข้มการล็อคดาวน์ตัวเอง ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็นเพื่อไม่รับเชื้อจากนอกบ้าน เว้นระยะห่างในครอบครัว เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อ และหากสงสัยติดเชื้อให้ตรวจด้วยชุดตรวจ ATK เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว ซึ่งเมื่อร่วมกับการเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงเป้าหมายจะช่วยทำให้ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลงได้ โดยภายในสิ้นเดือนสิงหาคม พื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ต้องครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 70 ส่วนจังหวัดที่เหลือมากกว่าร้อยละ 50

นายแพทย์จักรรัฐ  กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกขณะนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยวันที่ (7 ส.ค.)​ มีผู้ป่วยหายกลับบ้านได้ 21,108 ราย ใกล้เคียงกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,839 ราย ส่วนผู้เสียชีวิต 212 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตพบว่า เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน 172 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.58 ได้รับวัคซีน 1 เข็ม 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.90 และได้รับวัคซีน 2 เข็ม 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.52 แสดงให้เห็นทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวหากยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจะเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิตได้

ส่วนแนวโน้มผู้ติดเชื้อในประเทศขณะนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด เนื่องจาก 1.ผู้ติดเชื้อเดินทางออกจากพื้นที่ระบาดกลับภูมิลำเนาเพื่อรักษา 2. ผู้เดินทางกลับภูมิลำเนาไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ และไปแพร่เชื้อคนที่บ้าน 3.มีการระบาดในโรงงาน/สถานประกอบการทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ดังนั้น ผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาต้องคิดเสมอว่าตนเองมีความเสี่ยง ให้ป้องกันตนเองและคนรอบข้างอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อต่อ