“มนพร”ปัดฝุ่น”ท่าเรือคลองเตย”ผุดรับเรือสำราญ ท่องเที่ยว ต่างชาติ

“มนพร”เร่ง การท่าเรือ ปัดฝุ่นท่าเรือกรุงเทพ รองรับเรือครุยส์ เพื่อการท่องเที่ยว พร้อมเดินหน้าประสาน กระทรวงท่องเที่ยวฯ-ทัวทั้งใน และต่างประเทศ มั่นใจหลังสถานการณ์โควิด ธุรกิจเรือสำราญกลับมาบูม หยิบพื้นที่ท่าเรือ 17 ไร่พัฒนาเชิงพาณิชย์ คอมมูนิตี้รองรับท่าเรือสำราญ พร้อมเร่งสร้างทางเชื่อมกับทางด่วน S1 มูลค่า 4 พันล้าน คาดเปิดประมูล Q2/67 เริ่มสร้างปีหน้า เสร็จพร้อมเปิดใช้ปี 70 ส่วน ทลฉ.เฟส 3 ลุยขายซองประมูลครั้งที่ 2 สร้างท่าเทียบเรือ-ถนน 7 พันล้าน เผยผลประกอบการปี 66 ฟันกำไร 6.8 พันล้าน สูงสุดในรอบ 72 ปี ฝันปี 67 โกยกำไรแตะ 7 พันล้าน

นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้ให้นโยบาย การท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) เดินหน้าพัฒนา ท่าเทียบเรือท่องเที่ยว (Cruise Terminal) บริเวณตึก OB ท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) เพื่อการท่องเที่ยว รองรับเรือสำราญขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ที่มีผู้โดยสารกว่า 6,000 คน รองรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของนายกรัฐมนตรี โดยขณะนี้ กทท. ได้มีการศึกษาเพิ่มเติมที่จะเข้ามาพัฒนาท่าเรืออย่างจริงจังที่ท่าเรือกรุงเทพ จากที่ก่อนหน้าการแพร่ระบาดเชื้อโควิด มีเรือท่องเที่ยว ขนาดใหญ่เข้ามาเทียบท่าที่ท่าเรือแหลมฉบังกว่า 60 เที่ยวต่อปี จาก เดิมมีเทียบท่าเฉลี่ยที่ 30 ลำขณะที่ท่าเรือกรุงเทพมีเข้ามาเทียบท่าบ้าง ดังนั้นในปี 67 จะต้องเห็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยวที่ท่าเรือกรุงเทพ

ทั้งนี้ให้ กทท. ไปประสานกับกระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬา รวมถึง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)และบริษัททัวร์ทั้งใน และ ต่างประเทศ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาใช้ท่าเรือ รวมถึงประสานกับ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.), กรมศุลกากร เป็นต้น เพื่อรองรับ และเพิ่มทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยว เชื่อมต่อการขนส่งทางน้ำกับทางถนนเข้าเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือการท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริป (One Day Trip) ซึ่งนอกจากท่าเทียบเรือสำราญแล้วยังพบว่าในปี 66 นี้ในแม่น้ำน้ำเจ้าพระยา มีเรือครุยส์ล่องผ่านร่องน้ำเจ้าพระยา เริ่มกลับมา แล้ว 1-2 ลำ จากช่วงก่อนโควิดมีประมาณ 10 กว่าลำ ปัจจุบันรองรับผู้โดยสาร 1,000-2,000 คน 

ขณะเดียวกันให้นโยบาย กทท. ไปพิจารณาพัฒนาที่ดินกว่า 17 ไร่ บริเวณที่จะพัฒนาเป็นท่าเรือสำราญ ให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ มีสิ่งอำนวยความสะดวก แบบคอมมูนิตี้ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งรุปแบบการลงทุนทาง กทท. จะเป็นผู้พัฒนาพื้นที่เอง ซึ่งมั่นใจว่านอกจาก กทท. จะเป็นท่าเรือเพื่อการขนส่งสินค้าเข้าออก แล้ว จะยังสามารถสร้างรายได้จากพื้นที่ดังกล่าวด้วย

นางมนพร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ได้ผลักดันโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) ระยะทาง 2.25 กิโลเมตร (กม.) วงเงินประมาณ 4,000  ล้านบาท แบ่งเป็น กทท. ลงทุน 50% และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) 50% ทั้งนี้ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างได้ในปีงบประมาณ 67 เพื่อลดผลกระทบปัญหาจราจรระหว่างท่าเรือกรุงเทพกับการจราจรบนท้องถนนในเขต กทม. และปริมณฑล

ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า สำหรับโครงการเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพ-S1 ผ่านการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ อยู่ระหว่างการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) ก่อนที่ กทพ. จะเป็นผู้ดำเนินการจัดการประมูล คาดว่า จะเปิดประมูลได้ในช่วงไตรมาส 2/67 และเริ่มก่อสร้างในปี 67 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 70

นอกจากนี้ กทท. ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับชุมชนท่าเรือคลองเตย จำนวน 101 ครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพ-S1 เพื่อเสนอทางเลือก ตามโครงการ Smart Community ซึ่งก่อนหน้านี้มีการเจรจาไว้ 3 แนวทางเลือก คือ 1.ให้ย้ายไปอาศัยในอาคารที่ กทท. เตรียมสร้างในรูปแบบคอนโด 2.ย้ายไปอยู่บริเวณที่ดินย่านหนองจอก และ 3.การให้เงินชดเชย อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 นั้น ขณะนี้ กทท. ได้ส่งมอบงานก่อสร้างงานทางทะเลในส่วนของงานพื้นที่ถมทะเล 1 (Key Date 1), พื้นที่ถมทะเล 2 (Key Date 2) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนพื้นที่ถมทะเล 3 (Key Date 3) คาดว่า จะส่งมอบพื้นที่ท่าเทียบเรือ F ขนาด 1,000 เมตร ให้บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (GPC) เอกชนคู่สัญญาได้ภายในกลางปี 67 

ขณะที่ส่วนที่ 2 งานจ้างเหมา ก่อสร้างโครงการฯ ได้แก่ งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค วงเงินประมาณ 7 พันล้านบาทนั้น อยู่ในขั้นตอนจำหน่ายเอกสารการประกวดราคา ครั้งที่ 2 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 ธ.ค. 66 หลังจากครั้งที่ 1 มีผู้ยื่นเสนอเอกสารการประมูลรายเดียว ในส่วนงานที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ และส่วนงานที่ 4 งานติดตั้งเครื่องจักรและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนการออกแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน คาดว่า จะเปิดประมูลได้ในปี 67

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 66 ของ กททนั้น มีรายได้ 15,000-16,000 ล้านบาท มีผลกำไร 6,890 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 72 ปีนับตั้งแต่เปิดดำเนินการ และตั้งเป้าหมายในปี 67 จะมีกำไร 7,000 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานให้บริการเรือ สินค้า และตู้สินค้าผ่านท่าเรือในปี 66 นั้น ท่าเรือกรุงเทพ มีตู้สินค้าผ่านท่า 8.5 ล้าน ที.อี.ยู. ขณะที่ ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) มีตู้สินค้าผ่านท่า 1.2-1.3 ล้าน ที.อี.ยู.