“พุทธิพงษ์”​ แจงเน็ตประชารัฐ-ยูโซเน็ต



  • สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจสับสน 
  • เน็ตประชารัฐ -ยูโซเน็ต สามารถตรวจสอบได้ 
  • ย้ำประมูล 5 จี ไม่ได้เอื้อเอกชนรายใด  

เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่รัฐสภา นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ชี้แจงว่าโครงการเน็ตประชารัฐ เป็นโครงการของกระทรวงดีอีเอส ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)​เป็นองค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี และการดำเนินงาน เป็นไปตามนโยบายนของหน่วยงานเอง โดยมีหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้ประชาชน ได้ใช้บริการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม อย่างทั่วถีง 

ทั้งนี้โครงการเน็ตประชารัฐครอบคลุมพื้นที่ 24,700 หมู่บ้าน เป็นโครงการที่ใช้งบประมาณจากการประมูล 4 จี โดยดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 และเสร็จสิ้นเมื่อปี 2560 โดยกระทรวงดีอีเอส ได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)​ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ 

ส่วนโครงการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่ชายขอบ 3,920 หมู่บ้าน หรือ โครงการยูโซเน็ต เป็นโครงการที่ดำเนินการโดยกสทช. ที่ใช้เงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุนกทปส.​)  ที่มีรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบอนุญาตใบอนุญาต ที่นำส่งเป็นรายได้ของกองทุนกทปส.  ซึ่งงบดังกล่าวกสทช. มีนโยบายที่จะดำเนินการสร้างโครงข่ายดิจิทัล ให้พื้นที่ชนบท ห่างไกลเข้าถึง และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการอีก 15,700 หมู่บ้าน 

“ตนเข้าใจว่าสมาชิกที่อภิปรายเรื่องดังกล่าวอาจสับสน โดยเอาโครงการเน็ตประชารัฐกับโครงการยูโซ่เน็ตมารวมกัน”

นายพุทธิพงษ์​ กล่าวต่อว่า สำหรับการใช้จ่ายงบโครงการเน็ตประชารัฐ ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่วนโครงการยูโซ่เน็ต ทั้งส่วน 3,920 หมู่บ้าน และ15,372 หมู่บ้าน จะดำเนินการแล้วเสร็จในปีนี้ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ จึงสรุปได้ว่างบประมาณที่ใช้ในโครงการ เน็ตประชารัฐ และโครงการยูโซ่เน็ต ได้มาจากการประมูล 4G และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม  ซึ่งไม่ใช่งบประมาณที่แยกต่างหากหรือเป็นงบประมาณที่ตรวจสอบไม่ได้

 ส่วนการประมูล 5 จี ที่ผ่านมามีการแข่งขันกันสูงมีงบประมาณกว่าแสนล้านบาท โดยระบุไว้ในเงื่อนไขว่าภายใน 1 ปี ต้องดำเนินการในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ​ภาคตะวันออก (อีอีซี) และเมืองใหญ่ให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งมีการกำหนดอัตราค่าบริการไว้อย่างชัดเจน ทำให้เชื่อได้ว่าประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบหรือต้องแบกภาระอะไร 

ทั้งนี้ขอยืนยันว่าการประมูล 5 G ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนแต่อย่างใด แต่เป็นการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นทางเลือกในการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งเป็นการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเชื่อมั่นว่าจะสร้างความคุ้มค่า และผลประโยชน์ให้กับประเทศ